ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ

20 พฤศจิกายน 2552

ฐานเศรษฐกิจ : ปิดฉาก'อีลิทการ์ด'บัตรเทวดาตกสวรรค์!

กว่า 7 ปีที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้นของบัตรเทวดา"อีลิทการ์ด" ของบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด(ทีพีซี) อันเป็นโครงการสุดฮือฮาของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่วาดฝันจะดึงนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์มาสมัครเป็นสมาชิก ในอัตราใบละล้านบาท โดยตั้งเป้าว่าจะระดมได้ถึง 1 ล้านคน เพื่อดูดเม็ดเงินเข้าประเทศ 1 ล้านล้านบาท

ถึงขนาดเปิดทำเนียบรัฐบาลสำหรับใช้เปิดตัวโครงการดังกล่าวเมื่อกลางปี 2546 โดยดึงนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับอดีตนายกฯมาร่วมถือบัตรกันหลายราย และหนึ่งในนั้นก็มี "เหยียน ปิน" ที่สนิทแนบแน่นกับรัฐบาลในยุคนั้นเป็นอย่างดี

++อ่วมขาดทุน 1.4 พันล้าน
แต่ท้ายสุดโครงการอีลิทการ์ด ก็กลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ เพราะฝันทุกอย่างที่วาดไว้ไม่เห็นผลปรากฏเป็นรูปธรรมได้เลยสักอย่าง จากสมาชิกที่ตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน ถึงปัจจุบันหาได้แค่เพียง 2,570 คน รายได้แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะประสบกับภาระขาดทุนสะสมกว่า 1,400 บาท มีเงินสดคงเหลืออยู่ที่ 338 ล้านบาทเท่านั้น แทบชักหน้าไม่ถึงหลังกับภาระที่ต้องดูแลค่าใช้จ่ายของสมาชิกอีลิทการ์ด ในการเข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสปา สนามกอล์ฟ และต้องประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก สะท้อนผ่านปัญหาการค้างจ่ายเงินให้กับคู่ค้า จนบางแห่งงดให้บริการสมาชิกอีลิทการ์ด และก่อนหน้านี้ก็มีรายการค้างเงินเดือนพนักงาน

ทำให้ตลอดทั้งปีนี้ไม่มีรายการรับสมัครสมาชิกใหม่ เพราะยิ่งรับมากก็ยิ่งประสบกับภาวะขาดทุน ปีนี้จึงถือเป็นการเข้ามาปรับลดค่าใช้จ่ายและอุดรูรั่วต่าง ๆ ของบริษัท เพื่อยืดลมหายใจของบริษัทออกไปเท่านั้น และก็ต้องพยุงต่อกันไปชนิดไม่สิ้นสุด เพราะอีลิทการ์ดไม่ได้เป็นโครงการที่ทำรายได้ในทางธุรกิจได้จริง และหากพูดกันเฉพาะในเชิงธุรกิจ ก็จะเห็นว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจมานับจากเริ่มก่อตั้งโครงการแล้ว สำหรับการจัดเก็บรายได้จากขายสมาชิกอยู่ที่ 1 ล้านบาท กับสิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้ตลอดชีวิต เพราะในโลกนี้ไม่มีบัตรพริวิเลจที่จะเป็นตัวทำรายได้ แต่พริวิเลจจะเป็นตัวเสริมเพื่อกระตุ้นให้เกิดรายได้เท่านั้น

ดังนั้น การที่รัฐบาลจะให้อีลิทการ์ดมาสร้างรายได้ ในขณะที่สิทธิประโยชน์ที่ต้องดูแลสมาชิกยาวนานมาก โดยที่บริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของบริการเอง การหารายได้และควบคุมต้นทุนจะทำให้ไม่ขาดทุนจึงเป็นเรื่องที่ยาก รูปแบบการบริหารงานก็เป็นไปในลักษณะของการเล่นแชร์ ที่นำเงินของสมาชิกมาหมุนเวียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งการมอบสิทธิพิเศษก็หลากหลายมาก ทั้งการให้สิทธิ์ระยะเวลานานกว่า 30 ปี สามารถโอนสิทธิ์ให้กับคนในครอบครัว หรืออื่นๆ

การที่รัฐบาลจะหวังให้อีลิทการ์ดมาสร้างรายได้ ในขณะที่สิทธิประโยชน์ที่ต้องดูแลสมาชิกยาวนานตลอดชีวิต โดยที่บริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของบริการเอง การหารายได้และควบคุมต้นทุนจะทำให้ไม่ขาดทุนจึงเป็นเรื่องที่ยาก หากยังเดินหน้าทำต่อ การหาสมาชิกเพิ่มก็เหมือนกันเป็นการหมุนเงินไปเรื่อยๆ พอเงินหมดท้ายสุดรัฐบาลก็ต้องเข้ามาอุ้ม เรียกได้ว่าไม่ตายวันนี้ก็ตายวันหน้าอยู่ดี

การตัดสินใจสะสางปัญหาโครงการอีลิทการ์ด กลายเป็นเรื่องคาราคาซังผ่านมาหลายรัฐบาล แม้ไม่เห็นทางว่าจะดำเนินการอย่างไรที่จะไม่เป็นภาระงบประมาณของรัฐไปมากกว่านี้ แต่ครั้นจะลงดาบเลิกกิจการ ก็ทั้งห่วงผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะทางการไทยเป็นผู้เชิญชวนนักลงทุนมาเป็นสมาชิกเอง อีกทั้งยังหวั่นเกรงการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือค่าชดเชยการไม่ได้รับบริการตามสัญญาที่อาจเป็นคดีความตามมาอีกมหาศาล โครงการนี้จึงยืดเยื้อเรื่อยมา

++ขายทิ้งดีกว่าเตี้ยอุ้มค่อม
ล่าสุดเมื่อ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฟันธงเลือกแนวทางการขายอีลิทการ์ดให้เอกชนที่สนใจเข้ามาดำเนินการแทน โดยที่ประชุมครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ร่วมกันจัดทำร่างเงื่อนไข(ทีโออาร์) เปิดประมูลขายกิจการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทน ภายใน 1 เดือน และให้ดำเนินการเปิดประมูลภายในเวลา 2 เดือน

ซึ่งในร่างทีโออาร์นั้นจะให้สิทธิ์เอกชนเข้ามาบริหารงาน 100% และต้องกำหนดเงื่อนไขกับเอกชนให้ชัดเจน กรณีจะเข้ามารับบริหารต่อนั้นจะต้องยอมรับสภาพหนี้สะสมทั้งหมดของบริษัท ส่วนกรณีรับบริหารแล้วหากจะให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนในส่วนของสิทธิพิเศษต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การยกเลิกค่าวีซ่า การเปิดช่องทางอำนวยความสะดวกการตรวจคนเข้าเมือง หรือ ฟาสต์แทร็ก เป็นต้น ทางรัฐก็พร้อมสนับสนุนอย่างต่อเนื่องสำหรับส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ทั้งนี้หากภายในเวลา 3 เดือน ยังไม่ได้ข้อสรุปหรือไม่สามารถขายกิจการให้กับเอกชนได้ รัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว คือ การยุบกิจการ แล้วโอนสมาชิกที่มีอยู่ไปให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดูแลต่อในส่วนสิทธิประโยชน์และการบริการ แต่จะไม่มีการรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติม

จากมติครม.ที่เกิดขึ้นจึงถือว่าเป็นการปิดฉากบริษัท และยุติโครงการโดยภาครัฐอย่างสิ้นเชิง หลังจากรัฐบาลต้องเสียค่าโง่ให้กับโครงการนี้ไปแล้วนับพันล้านบาท ข้อดีของการถอนตัวจากโครงการนี้ของรัฐ คือ ตัดภาระผูกพันกับรัฐบาลไทย ทีพีซีเองรวมถึงผู้ถือหุ้นอย่างททท.ในระยะยาว โดยการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทนหรือแปรรูปออกไป ซึ่งเชื่อว่ายังมีกลุ่มธุรกิจที่น่าจะนำโครงการอีลิทการ์ดไปต่อยอดได้ อาทิ คิงเพาเวอร์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสนามกอล์ฟ และกลุ่มธุรกิจลองเสตย์ ที่มีฐานลูกค้าเป็นเมมเบอร์คลับอยู่แล้ว

อีกทั้งการโอนให้เอกชนรับไปก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการโอนสิทธิประโยชน์ของรัฐที่เป็นสิทธิประโยชน์ของบัตรอีลิทการ์ด เพราะสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ การขอวีซ่า ทุกอย่างก็ต้องเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ อยู่แล้ว หรือแม้แต่ฟาสต์แทร็ก ก็เป็นบริการที่สามารถซื้อได้จากการให้บริการของภาคเอกชนหรือภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากทุกฝ่ายมีความจริงใจก็น่าจะแก้ปัญหาอีลิทการ์ดได้ แต่รัฐไม่ควรดำเนินการเอง เพราะภาระการขาดทุนที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ได้อยู่แล้ว

การยอมตัดความเสียหายในครั้งนี้ หากแลกกับการตัดตอนปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาชนิดไม่รู้จบก็น่าจะยุติโครงการอันฉาวโฉ่นี้ได้เสียที เหลือเฉพาะสมาชิกที่มีอยู่เดิม โดยให้ททท.ดูแลเฉพาะการให้บริการสมาชิกเดิมเท่านั้น ไม่มีการรับใหม่เพิ่ม เพราะโครงการที่เกิดจากใบสั่งการเมืองไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต แถมชื่อก็ยังฉาวโฉ่จนแทบไม่เหลืออยู่แล้ว เพราะทำไปทำมาโครงการนี้แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ได้ในทุกยุคทุกสมัยทีเดียว

-สารพัดความล้มเหลว
7 ปีของโครงการอีลิทการ์ดมีเรื่องอื้อฉาวเป็นระยะ นับแต่วันเริ่มเดินหน้าโครงการ ที่มีการประกาศใหญ่โตว่า จะระดมสมาชิก 1 ล้านคน ดูดเม็ดเงินเข้าประเทศ 1 ล้านล้านบาท โดยพร้อมประเคนสิทธิประโยชน์และบริการชั้น"พิเศษ" สำหรับนักลงทุนกระเป๋าหนักที่เป็นสมาชิก แต่ผ่านไป 5 ปีมีสมาชิกที่ 2,570 คนเท่านั้น
แนวคิดของโครงการดังกล่าวยังขัดแย้งกันเอง ด้านหนึ่งประกาศว่าเป็นโครงการเพื่อบริการสมาชิกชั้น"พิเศษ" แต่ตั้งเป้าสมาชิกไว้สูงเป็นล้านคน อีกทั้งเมื่อไม่สามารถดึงสมาชิกได้สูงตามเป้า การบริหารเพื่อให้เกิดความประหยัดเนื่องจากขนาดก็ไม่เกิด จึงต้องแบกภาระขาดทุนสะสมมาต่อเนื่อง

ยังไม่นับการดำเนินงานที่ถูกต้องข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสหลายกรณี ทั้งการว่าจ้างบริษัทไทยเรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด โฆษณาบัตรผ่านซีเอ็นเอ็น โดยไม่มีสัญญาจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นทางการ เมื่อถูกวางบิลเรียกเก็บเงิน 200 ล้านบาท ก็ไม่สามารถชำระให้ได้

กรณีถูกบริษัทแมคแคน-แอริคสัน เวิลด์ กรุ๊ป ประเทศไทย จำกัด ตัวแทนบริษัทโฆษณาชื่อดัง ส่งจดหมายทวงหนี้ 10 ล้านบาท สำหรับค่าไอเดียออกแบบโลโกและบัตรอีลิทการ์ดที่ยังจ่ายไม่ครบ แต่ผู้บริหารไปว่าจ้างบริษัทอื่น คือบริษัทแซสโซ จำกัด (SASSO) ของสหรัฐอเมริกา รับช่วงทำต่อ

ยังมีเรื่องทุจริตในเรื่องของการแต่งตั้งตัวแทนขายบัตรอีลิทการ์ด ซึ่งเอเยนต์หลายรายมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับกลุ่มทุนการเมืองในยุคทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแอฟทีฟ จำกัดของนางสุนทรี จันทร์ประสิทธิ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับน้าของอดีตนายกฯทักษิณ , บริษัทคิงเพาเวอร์ฯ ที่เฟื่องฟูสมัยไทยรักไทยยังสมานฉันท์ รวมไปถึงบริษัทแกรนด์ อีลิทฯ บริษัทในเครือของนายเหยียน ปิน จึงมีการแต่งตั้งเอเยนต์เหล่านี้ขึ้นมา โดยที่ไม่มีการเปิดกว้างให้คนสนใจมาเสนอตัว การบริหารที่ไม่เป็นระบบ ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในจนเกิดการฟ้องร้องกันวุ่นวาย

หรือการใช้ทีพีซีเป็นแหล่งให้บริการอำนวยความสะดวกแก่คนใกล้ชิดฝ่ายการเมือง หรือผู้บริหารระดับสูง ในการเดินทางไปต่างประเทศ การตั้งงบค่าอาหารของฝ่ายบริหาร โดยใช้งบประมาณของทีพีซี การทำสัญญาเพื่อให้สมาชิกบัตรไปใช้บริการต่าง ๆ อาทิ สนามกอล์ฟ สปา ห้องออกกำลังกาย สปอร์ตคลับ ในวงเงินที่สูงเกินจริง หรือไม่คุ้มค่า หรือล่าสุดไปเช่าระบบบริหารและสัญญาระบบสำนักงานอัตโนมัติ (ไอที) เป็นวงเงินถึง 77 ล้านบาท ที่เป็นการเสียเปรียบคู่สัญญาทุกประตู เป็นต้น

สารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับบัตรเทวดา การปิดฉากและยุติโครงการของรัฐบาลในวันนี้ แม้จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นการตัดตอนปัญหาในอนาคตที่จะเกิดขึ้นไม่รู้จบได้ดีที่สุด เพราะที่ผ่านมาอีลิทการ์ดก็มีแต่เรื่องฉาวโฉ่มาตลอดกว่า 7 ปี ที่ก็คงปฏิเสธไม่ได้

ที่มา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,480 19 พ.ย. - 21 พ.ย. 2552

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

ASTV ผู้จัดการ News

กรุงเทพธุรกิจ - ข่าวหน้าแรก

เกาะติดสื่อ ตามข่าวร้อน Copyright © 2009 WoodMag is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template