คมชัดลึก : "การตัดสินไม่ร่วมแก้รัฐธรรมนูญถือว่า ปชป.กินรวบทุกหน้า ไม่มีอะไรเสียหายเลย ได้ทั้งแต้มจากประชาชนในบทบาทพรรคที่รักษาจุดยืน รวมทั้งได้ประโยชน์จากการปกป้องระบบการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่ที่ ปชป.ได้ประโยชน์ ขณะที่พรรคร่วมก็ไม่กล้าถอนตัวออกจากรัฐบาลตามคำขู่ แถมยังไม่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มพันธมิตรซึ่งเป็นแนวร่วมด้วย"
บทสรุปของ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) น่าจะเป็นการสะท้อนภาพการเมืองชั่วโมงนี้ได้อย่างตรงประเด็นที่สุด
สวนทางกับการจับกระแสโดยพรรคร่วมฯ และคนในแวดวงการเมืองที่เชื่อว่ารัฐบาลกำลังเดินเข้าสู่จุดจบ ด้วยการ "ยุบสภา" อย่างสิ้นเชิง
"สมบัติ" ให้เหตุผลว่า แม้การตัดสินใจของประชาธิปัตย์จะส่งผลให้เสถียรภาพของรัฐบาลลดลง แต่อย่างไรเสียก็ไม่ถึงขั้นถอนตัวแน่นอน เพราะพรรคร่วมฯ ทั้ง 5 พรรค ต่างไม่พร้อมที่จะกระโจนสู่สนามเลือกตั้งในเวลาอันใกล้นี้
ขณะที่ประชาธิปัตย์กลับพลิกขึ้นมาเป็นฝ่าย "ถือไพ่เหนือกว่า" เพราะได้ใจจากกระแสสังคม รวมทั้งนโยบาย "ซูเปอร์ประชานิยม" กำลังผลิดอกออกผล
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ เรียนฟรี ประกันราคาสินค้าเกษตร
และที่โกยแต้มได้มากที่สุดในขณะนี้คือ นโยบาย "ประกันรายได้" ที่มาลงทะเบียนกันล้นหลาม แม้แต่ฝั่งสมาชิกเสื้อแดงยังเสียดายไปตามๆ กัน เพราะมาขอลงทะเบียนตามหลังแต่หมดเวลาซะก่อน ต้องรอไปปีหน้าโน่น
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เมื่อประเมินจากปัจจัยบวกที่ทำให้ทั้งกระแสประชาธิปัตย์และภาวะผู้นำของ "อภิสิทธิ์" พุ่งขึ้นในระยะหลังแล้ว จะเห็นคำตอบที่ชัดเจนทีเดียวว่า "ทำไม ปชป.ถึงกล้าหักพรรคร่วมฯ" ?
ขยายความให้ชัดเจนลงไป ก็สามารถชี้ได้ว่า
หนึ่ง...ประชาธิปัตย์กำลังเลือกสร้าง "จุดยืน" ที่ได้ใจสังคมในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลที่ตอกย้ำอยู่เสมอว่า ทำเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน
การตัดสินใจของพรรคร่วมฯ ในการแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 2 มาตรานั้น ปฏิเสธได้ยากว่าเป็นการทำเพื่อส่วนรวม เพราะเห็นอยู่ทนโท่ว่าพรรคร่วมฯ กลัวจะต้องสูญพันธุ์ หากยังใช้กติกาเลือกตั้งเดิม
แน่นอนว่าต้องประชาธิปัตย์ "มั่นใจ" ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งนั่นสำคัญกว่าจำนวนเสียงในรัฐบาลมาก
สอง...ที่ผ่านมาพรรคร่วมฯ ยังไม่สามารถสร้างผลงานได้เป็นที่ถูกตาต้องใจ ขณะเดียวกันกลับมีกระแสข่าวในเชิงลบออกมาตลอด โดยเฉพาะการรุกไล่ประชาธิปัตย์ ข่มขู่ทางอ้อมตลอดเวลาเพื่อให้ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณก็ดี แต่งตั้งโยกย้ายก็ดี ฯลฯ
ส่งผลให้คำสบประมาทที่มีต่อ "อภิสิทธิ์" ในทำนองเด็กดื้อบ้าง หรือไม่มีความเป็นผู้นำบ้าง ได้ย้อนศรกลับมาทำให้ "อภิสิทธิ์" ในวันนี้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ที่มีภาวะผู้นำที่แข็งขึ้นมาทันที หลังจากไม่สยบยอมต่อแรงกดดันของพรรคร่วมฯ และรวมถึง "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
ขณะเดียวกัน กระแสตีกลับก็พุ่งไปที่ "พรรคร่วมฯ" ในฐานะที่เป็นตัวการช่วยเสริมให้การเมืองไม่นิ่ง นอกเหนือจากความเคลื่อนไหวของ "ขบวนการทักษิณ" และ "ขบวนการเสื้อแดง"
สาม...ประชาธิปัตย์มั่นใจว่า อย่างไรเสียพรรคร่วมฯ ก็ไม่กล้าเดินออกจากรัฐบาล ด้วยสมมติฐานที่ว่า ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันก็ไม่อยากยุบสภา เพราะความไม่พร้อมทั้งกระสุนเสบียงกรัง และกติกาเลือกตั้ง
หากพรรคร่วมฯ ตัดสินใจยกโหวตสวนในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อหวังเปลี่ยนขั้วรัฐบาล รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยก็จะไม่สามารถอยู่ได้นาน เพราะจะถูกกระแสต่อต้านจากสังคมเหมือนกับ "รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช" และ "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์"
สุดท้ายก็อาจหนีไม่พ้นต้อง "ยุบสภา" หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแบบฟ้าผ่าอีกรอบ และนั่นไม่เป็นผลดีต่อพรรคร่วมฯ ที่ต้องตกเป็นจำเลยสังคมซ้ำซ้อน และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เร็วขึ้น
เพราะอย่าลืมว่าภายใต้กติกาเลือกตั้งตามรีฐธรรมนูญปี 2550 จะมีเพียงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ และสนามเลือกตั้งก็จะเป็นการฟัดกันระหว่างสองพรรคใหญ่ หญ้าแพรกอย่างพรรคเล็กมีแต่แหลกลาญ
สี่...ประเมินจากแต้มบวกของรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ชั่วโมงนี้แล้ว แนวโน้มเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลอาจอยู่ยาวจนหมดวาระ ซึ่งนั่นย่อมเป็นเหตุผลทำให้พรรคร่วมฯ ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าการเลือกอยู่ในสถานะรัฐบาลไปอีก 2 ปี ย่อมดีกว่าเป็นฝ่ายค้านแม้แต่วันเดียว ถึงแม้ต้องอยู่กันแบบหวานอมขมกลืน หรือนอนหันหลังให้กันก็ตาม
ห้า...ระยะเวลาหลังจากอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เข้าสู่การจัดทำงบประมาณ เปรียบได้กับ "ชิ้นปลามัน" วางให้เห็นอยู่หน้า สิ่งที่พรรคการเมืองต่างรอก็คือการคลอดงบประมาณ ซึ่งมาพร้อมกับโปรเจกท์ต่างๆ ที่จะได้เก็บหอมรอมริบ รวมถึงเก็บแต้มสร้างผลงานจากนโยบายที่จะไหลตามออกมาอีกระลอก
หก...ความเคลื่อนไหวของ "ขบวนการทักษิณ" และ "ขบวนการเสื้อแดง" ถูกประเมินว่าไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันความรุนแรงที่หวังจะนำไปสู่การรัฐประหาร ก็แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเพราะนอกจากกระแสสังคมจะไม่ตอบรับแล้ว กองทัพทุกวันนี้ยังต้องเกาะกระแสขาขึ้นของรัฐบาลด้วยซ้ำไป เหตุเพราะต้นทุนของกองทัพปัจจุบันนี้อยู่ในสถานะที่ถูกหวาดระแวงจากสังคม
ฉะนั้นแล้วการที่พรรคร่วมฯ ดูจะมั่นอกมั่นใจถึงขนาดขู่รัฐบาลเตรียมนับถอยหลังนั้น เอาเข้าจริงอาจเข้าตำรา "ไม่มีอะไรในกอไผ่" ก็เป็นได้
งานนี้อย่าประมาทประชาธิปัตย์ไปเชียว
เพราะเมื่อคิดสะระตะจากเหตุผลที่ว่ามา ในแง่ของนักการเมืองคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเกาะเก้าอี้รัฐบาลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่าลืมว่าวลีของ "บรรหาร ศิลปอาชา" ที่ว่า "เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง" ยังคงเป็นอมตะมาถึงทุกวันนี้ !
ข่าว การแำ้ก้ไขรัฐธรรมนูญ ข่าวการเมือง จาก คมชัดลึก โต๊ะข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่น
ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ
28 มกราคม 2553
อย่าประมาท "ปชป"
Author: Admin.
| Posted at: 19:15 |
Filed Under:
ข่าวการเมือง,
คมชัดลึก,
รัฐธรรมนูญ
|

สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 comments:
แสดงความคิดเห็น