นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการปฏิรูปได้เขียนบทความถึงแนวทางปฏิรูปและการปรองดอง โดยชี้ว่า...
สัปดาห์ที่ผ่านมามีความ สับสนเกี่ยวกับปรองดองและปฏิรูป โดยที่คิดว่าอยู่ในเรื่องเดียวกัน ดังที่มีนักข่าวถามว่า “ถ้าปรองดองไม่ สำเร็จจะปฏิรูปได้อย่างไร” ถ้าแยกเรื่องปรองดองกับการปฏิรูปออกจากกันก็จะมีความชัดเจนขึ้น ปรองดอง เป็นเรื่องของอดีต แต่ปฏิรูปเป็นเรื่องของอนาคต เรามักคุ้นเคยกับคำว่าแก้ปัญหา การแก้ปัญหาทำได้ยากและบ่อยๆ ครั้งการแก้ปัญหาทำให้ทะเลาะกันมากขึ้นเพราะ ปัญหามีที่มาและมีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดีง่ายกว่า เพราะเป็นเรื่องอนาคตยังไม่มีจำเลย
ผู้รู้บางคนถึงกับกล่าวว่า “การพัฒนาไม่ใช่การแก้ปัญหา การพัฒนาคือการรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี” ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรคิดแก้ปัญหา แต่ไม่ควรหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาเสียจนเคลื่อนไปสู่อนาคตไม่ได้
การปรองดองกับการปฏิรูป เป็นคนละกระบวนการกัน การปฏิรูปไม่ได้ทำเรื่องปรองดอง แต่ถ้าปฏิรูปแล้วเกิดความเป็นธรรมก็เกิดการปรองดองตามมาเอง ส่วนการปฏิรูปที่คิดว่าใครเป็นเหยื่อใครนั้น ถ้าได้เข้าใจความเป็นมาและที่จะเป็นไป ก็คงจะลดความสับสนลงได้บ้าง
(1) การปฏิรูประบบสุขภาพดำเนินมาเกือบ 20 ปีแล้ว นักการสาธารณสุขที่เห็นความทุกข์ยากของประชาชน จากความจน ความเจ็บป่วยล้มตายโดยไม่จำเป็นและการเข้าไม่ถึงบริการ ได้หาทางแก้ไขด้วยประการต่างๆ แต่ทำได้ยากมากเพราะปัญหาเชิงระบบ จึงคิดถึงการปฏิรูประบบสุขภาพ
การจะปฏิรูปอะไรต้องมีความรู้เกี่ยวกับ เรื่องนั้น แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมีความรู้ทางเทคนิค แต่ไม่มีความรู้เชิงระบบ จึงมีการตั้ง สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2535 เพื่อสร้างความรู้เชิงระบบ เพื่อเอาความรู้ไปปฏิรูประบบสุขภาพ สวรส. เป็นองค์กรอิสระองค์กรแรก มีความคล่องตัว และสามารถออกลูกองค์กรต่างๆ ได้ หลักของการปฏิรูปอย่างหนึ่งคือ เปลี่ยนจากระบบตั้งรับเป็นระบบรุก ตั้งรับคือ รอให้สุขภาพเสียก่อน รุกคือรุกไปสร้างสุขภาพดี จึงมีการตั้ง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) โดยออกกฎหมายเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่มาเข้ากองทุนนี้ ซึ่งมีหน้าที่ไปเสริมสร้างสุขภาพดีในทุกพื้นที่และในทุกเรื่อง
คนยากคนจนไม่มีหลักประกันสุขภาพ จึงมีการออกกฎหมายตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยที่นโยบายสาธารณะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมทุกส่วน การมีนโยบายที่ดีจึงเป็นเรื่องที่มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก แต่นโยบายที่ดีเกิดขึ้นได้ยาก เพราะกระทบต่อผลประโยชน์ต่อบางฝ่ายบางพวกที่มีอำนาจ จึงมีการออกกฎหมายตั้งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งมีภารกิจในการขับเคลื่อนให้เกิดนโยบายที่ดี
จึงมีองค์กรที่เรียกว่า ส. ต่างๆ คือ สวรส. สสส. สปสช. สช. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ เป็นลำดับๆ มา กระนั้นก็ตามเป้าหมายที่จะทำให้เกิดสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา แก่ประชาชนทั้งมวล ก็ยังเป็นเรื่องยาก เพราะ
(2) สุขภาพนั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและสังคมทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องมดหมอหยูกยาเท่านั้น เช่น ถ้าแก้ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้สังคมจะเกิดสุขภาวะได้อย่างไร ถ้าสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ระบบการเกษตรไม่ดี ระบบการศึกษาไม่ดี ฯลฯ ล้วนกระทบต่อสุขภาพทั้งสิ้น ฉะนั้นคำว่าระบบสุขภาพจึงกินความกว้างขวางออกไปนอกขอบเขตของระบบสาธารณสุข มาก โปรดสังเกตคำว่าระบบสุขภาพมีขอบเขตกว้างขวางกว่าระบบการแพทย์และระบบสาธารณ สุข อย่างในสถานการณ์ที่เรียกว่า วิกฤติสุดๆ นั้น ประชาชนจะมีสุขภาวะได้อย่างไร
(3) ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย 10 เรื่อง ในสภาวะที่เรียกว่าวิกฤติสุดๆ นั้น คนไทยกลุ่มหนึ่งได้คาดการณ์ว่า สภาวะวิกฤติน่าจะดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีทางออก นอกจากปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย หรือปฏิรูปทุกเรื่องเพราะปฏิรูปเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่นการปฏิรูปการเมือง คงจะไม่สำเร็จ จึงจัดให้มีการประชุมเรื่องปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย ทุก 2 สัปดาห์ เป็นเวลาปีครึ่งมาแล้ว โดยพิจารณาใน 10 เรื่องด้วยกัน คือ
(1) สร้างจิตสำนึกใหม่ (2) สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ (3) สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น(4) สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ (5) ธรรมาภิบาลทางการเมืองการปกครองระบบความยุติธรรมและสันติภาพ (6) ระบบสวัสดิการสังคมที่ถ้วนหน้า (7) ดุลยภาพเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม (8) ปฏิรูประบบสุขภาพ (9) วิจัยยุทธศาสตร์ชาติ (10) สร้างระบบการสื่อสารที่ดีที่ผสานการพัฒนาทั้งหมด
เรื่องเหล่านี้ยากๆ ทั้งสิ้น ต้องระดมคนมาใช้ความรู้ความคิดกันอย่างหนักโดยคิดว่าเรื่องยากๆ อย่างนี้ ถ้าไม่ช่วยกันทำแล้วใครจะทำ ฝ่ายการเมืองเขาคงทำไม่ได้ แต่ยามใดที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง หน้าต่างแห่งโอกาสจะเปิดให้ทำเรื่องยากๆ ยามที่ฝ่ายการเมืองเข้มแข็งเขามักจะไม่สนองตอบต่อข้อเรียกร้องใดๆ จากภาคสังคม ยามเขาอ่อนแอเขาจะสนองตอบ เพราะฉะนั้นการปฏิรูปประเทศไทยไม่ใช่ความริเริ่มของฝ่ายการเมือง แต่เป็นการสนองตอบความริเริ่มที่ดำเนินการอยู่แล้วในสังคม และก็เป็นโอกาสที่ภาคสังคมจะขับเคลื่อนการปฏิรูป
(4) กระบวนการปฏิรูปโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง กระบวนการปฏิรูปไม่ผูกติดกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง รัฐบาลก็เป็นอนิจจังเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุปัจจัย รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งอาจให้ความสนใจมากบ้างน้อยบ้าง เช่น สวรส.เกิดในช่วงรัฐบาลอานันท์ เรื่องหลักประกันสุขภาพนั้น นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ กับคณะเริ่ม รัฐบาลทักษิณจับไปทำและได้เครดิตไป องค์กร ส. หลายองค์กรเกิดในช่วงรัฐบาลชวน กระบวนการปฏิรูปจึงเกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เล่นการเมืองแบบเป็นฝักเป็นฝ่าย ตามปกติเรื่องใหม่ดีๆ ฝ่ายค้านจะสนใจมากว่ารัฐบาล เช่น คุณบรรหารเมื่อเป็นฝ่ายค้านได้นำเรื่องปฏิรูปการเมืองไปหาเสียงและเมื่อชนะ การเลือกตั้งก็ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ กระบวนการปฏิรูป เราจึงนึกถึงพรรคฝ่ายค้านด้วยเสมอ เพราะอาจกลับเป็นผู้ปฏิบัติเรื่องดีๆ ได้
(5) สังคมเข้มแข็งคือจุดลงตัว อำนาจรัฐก็ดี อำนาจเงินก็ดี ไม่มีทางทำให้ลงตัว แต่อาจทำให้แตกแยกมากขึ้น ต่อเมื่อใดสังคมเข้มแข็งนั่นแหละประเทศจึงจะลงตัวได้ ควรจะส่งเสริมให้มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง จนเกิดโครงสร้างสังคมทางราบ เป็นประชาสังคม ความเป็นประชาสังคม จะทำให้ทุกเรื่องยากๆ ได้ อย่างขณะนี้มีเสียงเรียกร้องทั่วไปให้มีการลดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม ซึ่งคงจะคิดถึงมาตรการปฏิรูปการใช้ที่ดิน การจัดเก็บภาษีที่ทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น การเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เช่น การมีองค์กรทางการเงิน ขนาดใหญ่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากๆ ทั้งนั้นถ้าปราศจากการขับเคลื่อนทางสังคมบวกกับทางวิชาการ ก็คงทำให้สำเร็จไม่ได้
สังคมไทยไม่เคยเข้มแข็ง วิกฤตการณ์บ้านเมืองคราวนี้ ถ้าได้สังคมเข้มแข็ง ขึ้นมาสักอย่าง ประเทศไทยก็น่าจะเปลี่ยน เพราะสังคมเข้มแข็งจะเป็นพลังที่ทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้
Continue Reading...
สัปดาห์ที่ผ่านมามีความ สับสนเกี่ยวกับปรองดองและปฏิรูป โดยที่คิดว่าอยู่ในเรื่องเดียวกัน ดังที่มีนักข่าวถามว่า “ถ้าปรองดองไม่ สำเร็จจะปฏิรูปได้อย่างไร” ถ้าแยกเรื่องปรองดองกับการปฏิรูปออกจากกันก็จะมีความชัดเจนขึ้น ปรองดอง เป็นเรื่องของอดีต แต่ปฏิรูปเป็นเรื่องของอนาคต เรามักคุ้นเคยกับคำว่าแก้ปัญหา การแก้ปัญหาทำได้ยากและบ่อยๆ ครั้งการแก้ปัญหาทำให้ทะเลาะกันมากขึ้นเพราะ ปัญหามีที่มาและมีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดีง่ายกว่า เพราะเป็นเรื่องอนาคตยังไม่มีจำเลย
ผู้รู้บางคนถึงกับกล่าวว่า “การพัฒนาไม่ใช่การแก้ปัญหา การพัฒนาคือการรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี” ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรคิดแก้ปัญหา แต่ไม่ควรหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาเสียจนเคลื่อนไปสู่อนาคตไม่ได้
การปรองดองกับการปฏิรูป เป็นคนละกระบวนการกัน การปฏิรูปไม่ได้ทำเรื่องปรองดอง แต่ถ้าปฏิรูปแล้วเกิดความเป็นธรรมก็เกิดการปรองดองตามมาเอง ส่วนการปฏิรูปที่คิดว่าใครเป็นเหยื่อใครนั้น ถ้าได้เข้าใจความเป็นมาและที่จะเป็นไป ก็คงจะลดความสับสนลงได้บ้าง
(1) การปฏิรูประบบสุขภาพดำเนินมาเกือบ 20 ปีแล้ว นักการสาธารณสุขที่เห็นความทุกข์ยากของประชาชน จากความจน ความเจ็บป่วยล้มตายโดยไม่จำเป็นและการเข้าไม่ถึงบริการ ได้หาทางแก้ไขด้วยประการต่างๆ แต่ทำได้ยากมากเพราะปัญหาเชิงระบบ จึงคิดถึงการปฏิรูประบบสุขภาพ
การจะปฏิรูปอะไรต้องมีความรู้เกี่ยวกับ เรื่องนั้น แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมีความรู้ทางเทคนิค แต่ไม่มีความรู้เชิงระบบ จึงมีการตั้ง สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2535 เพื่อสร้างความรู้เชิงระบบ เพื่อเอาความรู้ไปปฏิรูประบบสุขภาพ สวรส. เป็นองค์กรอิสระองค์กรแรก มีความคล่องตัว และสามารถออกลูกองค์กรต่างๆ ได้ หลักของการปฏิรูปอย่างหนึ่งคือ เปลี่ยนจากระบบตั้งรับเป็นระบบรุก ตั้งรับคือ รอให้สุขภาพเสียก่อน รุกคือรุกไปสร้างสุขภาพดี จึงมีการตั้ง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) โดยออกกฎหมายเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่มาเข้ากองทุนนี้ ซึ่งมีหน้าที่ไปเสริมสร้างสุขภาพดีในทุกพื้นที่และในทุกเรื่อง
คนยากคนจนไม่มีหลักประกันสุขภาพ จึงมีการออกกฎหมายตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยที่นโยบายสาธารณะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมทุกส่วน การมีนโยบายที่ดีจึงเป็นเรื่องที่มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก แต่นโยบายที่ดีเกิดขึ้นได้ยาก เพราะกระทบต่อผลประโยชน์ต่อบางฝ่ายบางพวกที่มีอำนาจ จึงมีการออกกฎหมายตั้งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งมีภารกิจในการขับเคลื่อนให้เกิดนโยบายที่ดี
จึงมีองค์กรที่เรียกว่า ส. ต่างๆ คือ สวรส. สสส. สปสช. สช. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ เป็นลำดับๆ มา กระนั้นก็ตามเป้าหมายที่จะทำให้เกิดสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา แก่ประชาชนทั้งมวล ก็ยังเป็นเรื่องยาก เพราะ
(2) สุขภาพนั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและสังคมทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องมดหมอหยูกยาเท่านั้น เช่น ถ้าแก้ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้สังคมจะเกิดสุขภาวะได้อย่างไร ถ้าสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ระบบการเกษตรไม่ดี ระบบการศึกษาไม่ดี ฯลฯ ล้วนกระทบต่อสุขภาพทั้งสิ้น ฉะนั้นคำว่าระบบสุขภาพจึงกินความกว้างขวางออกไปนอกขอบเขตของระบบสาธารณสุข มาก โปรดสังเกตคำว่าระบบสุขภาพมีขอบเขตกว้างขวางกว่าระบบการแพทย์และระบบสาธารณ สุข อย่างในสถานการณ์ที่เรียกว่า วิกฤติสุดๆ นั้น ประชาชนจะมีสุขภาวะได้อย่างไร
(3) ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย 10 เรื่อง ในสภาวะที่เรียกว่าวิกฤติสุดๆ นั้น คนไทยกลุ่มหนึ่งได้คาดการณ์ว่า สภาวะวิกฤติน่าจะดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีทางออก นอกจากปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย หรือปฏิรูปทุกเรื่องเพราะปฏิรูปเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่นการปฏิรูปการเมือง คงจะไม่สำเร็จ จึงจัดให้มีการประชุมเรื่องปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย ทุก 2 สัปดาห์ เป็นเวลาปีครึ่งมาแล้ว โดยพิจารณาใน 10 เรื่องด้วยกัน คือ
(1) สร้างจิตสำนึกใหม่ (2) สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ (3) สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น(4) สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ (5) ธรรมาภิบาลทางการเมืองการปกครองระบบความยุติธรรมและสันติภาพ (6) ระบบสวัสดิการสังคมที่ถ้วนหน้า (7) ดุลยภาพเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม (8) ปฏิรูประบบสุขภาพ (9) วิจัยยุทธศาสตร์ชาติ (10) สร้างระบบการสื่อสารที่ดีที่ผสานการพัฒนาทั้งหมด
เรื่องเหล่านี้ยากๆ ทั้งสิ้น ต้องระดมคนมาใช้ความรู้ความคิดกันอย่างหนักโดยคิดว่าเรื่องยากๆ อย่างนี้ ถ้าไม่ช่วยกันทำแล้วใครจะทำ ฝ่ายการเมืองเขาคงทำไม่ได้ แต่ยามใดที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง หน้าต่างแห่งโอกาสจะเปิดให้ทำเรื่องยากๆ ยามที่ฝ่ายการเมืองเข้มแข็งเขามักจะไม่สนองตอบต่อข้อเรียกร้องใดๆ จากภาคสังคม ยามเขาอ่อนแอเขาจะสนองตอบ เพราะฉะนั้นการปฏิรูปประเทศไทยไม่ใช่ความริเริ่มของฝ่ายการเมือง แต่เป็นการสนองตอบความริเริ่มที่ดำเนินการอยู่แล้วในสังคม และก็เป็นโอกาสที่ภาคสังคมจะขับเคลื่อนการปฏิรูป
(4) กระบวนการปฏิรูปโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง กระบวนการปฏิรูปไม่ผูกติดกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง รัฐบาลก็เป็นอนิจจังเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุปัจจัย รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งอาจให้ความสนใจมากบ้างน้อยบ้าง เช่น สวรส.เกิดในช่วงรัฐบาลอานันท์ เรื่องหลักประกันสุขภาพนั้น นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ กับคณะเริ่ม รัฐบาลทักษิณจับไปทำและได้เครดิตไป องค์กร ส. หลายองค์กรเกิดในช่วงรัฐบาลชวน กระบวนการปฏิรูปจึงเกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เล่นการเมืองแบบเป็นฝักเป็นฝ่าย ตามปกติเรื่องใหม่ดีๆ ฝ่ายค้านจะสนใจมากว่ารัฐบาล เช่น คุณบรรหารเมื่อเป็นฝ่ายค้านได้นำเรื่องปฏิรูปการเมืองไปหาเสียงและเมื่อชนะ การเลือกตั้งก็ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ กระบวนการปฏิรูป เราจึงนึกถึงพรรคฝ่ายค้านด้วยเสมอ เพราะอาจกลับเป็นผู้ปฏิบัติเรื่องดีๆ ได้
(5) สังคมเข้มแข็งคือจุดลงตัว อำนาจรัฐก็ดี อำนาจเงินก็ดี ไม่มีทางทำให้ลงตัว แต่อาจทำให้แตกแยกมากขึ้น ต่อเมื่อใดสังคมเข้มแข็งนั่นแหละประเทศจึงจะลงตัวได้ ควรจะส่งเสริมให้มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง จนเกิดโครงสร้างสังคมทางราบ เป็นประชาสังคม ความเป็นประชาสังคม จะทำให้ทุกเรื่องยากๆ ได้ อย่างขณะนี้มีเสียงเรียกร้องทั่วไปให้มีการลดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม ซึ่งคงจะคิดถึงมาตรการปฏิรูปการใช้ที่ดิน การจัดเก็บภาษีที่ทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น การเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เช่น การมีองค์กรทางการเงิน ขนาดใหญ่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากๆ ทั้งนั้นถ้าปราศจากการขับเคลื่อนทางสังคมบวกกับทางวิชาการ ก็คงทำให้สำเร็จไม่ได้
สังคมไทยไม่เคยเข้มแข็ง วิกฤตการณ์บ้านเมืองคราวนี้ ถ้าได้สังคมเข้มแข็ง ขึ้นมาสักอย่าง ประเทศไทยก็น่าจะเปลี่ยน เพราะสังคมเข้มแข็งจะเป็นพลังที่ทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้