ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ

05 ธันวาคม 2552

ปัญหา "มาบตาพุด" กระทบไทยอย่างไร

Suthichaiyoon.com : ผลพวง "มาบตาพุด" กระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างไร?

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ประเมินผลกระทบจากกรณีการลงทุนในมาบตาพุด กับเศรษฐกิจ โดยคาดว่าหากกรณีที่กระทบรุนแรงสุด น่าจะฉุดจีดีพี ลดลง -0.5% และการจ้างงานทางตรงทางอ้อมลดลงจำนวน 193,000 คน

1. เกิดอะไรขึ้นกับการลงทุนที่บริเวณมาบตาพุด

o วันที่ 19 มิถุนายน 2552 สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนฟ้องหน่วยงานรัฐ เรียกร้องให้การพิจารณาอนุมัติ การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550

o วันที่ 29 กันยายน 2552 ศาลปกครองชั้นต้นสั่งระงับการลงทุน 76 โครงการ เนื่องจากดำเนินการไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550

o วันที่ 2 ธันวาคม 2552 ศาลปกครองมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยมีคำสั่งให้ชะลอ 65 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง และให้ 11 โครงการ ที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชนสามารถเดินหน้าได้ ได้แก่ โครงการเชื้อเพลิงและก๊าซ 4 โครงการ โครงการเหล็ก 2 โครงการ และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 5 โครงการ โครงการใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ

o โครงการลงทุนทั้ง 76 โครงการของมาบตาพุด มีเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 2.9 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ โครงการผลิตพลังงานทางเลือก อาทิเช่น ไบโอดีเซลและก๊าซธรรมชาติ นิคมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือ โรงไฟฟ้า โรงบำบัดกำจัดของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรม

โครงการดังกล่าวทั้ง 76 โครงการนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

1. โครงการที่ยังไม่จัดทำ EIA มีทั้งสิ้น 18 โครงการ มีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 8.9 หมื่นล้านบาท

2. โครงการที่จัดทำ EIA แล้ว แต่ยังต้องรออนุมัติความน่าเชื่อถือของรายงาน มี 47 โครงการ มีเม็ดเงิน ลงทุนทั้งสิ้น 1.4 แสนล้านบาท

3. โครงการที่ได้รับอนุมัติจัดทำ EIA ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มี 11 โครงการ มีเม็ดเงินลงทุน ทั้งสิ้น 5.8 หมื่นล้านบาท

โครงการที่ถูกระงับการลงทุนเป็นในกลุ่มที่ 1 และ 2 รวมเป็นเงิน 2.29 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย โครงการปิโตรเคมีและท่อส่ง โครงการเหล็ก นิคมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือ โรงไฟฟ้า โรงบำบัดกำจัดของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยง ไปข้างหน้าและข้างหลังสูงมาก อาทิเช่น การผลิตปูน เหล็ก และการก่อสร้าง

2. จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเศรษฐกิจไทย

• ช่องทางการส่งผ่านผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ผลกระทบที่เกิดขึ้นสามารถจำแนกได้ 7 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านอุปสงค์ ผ่านการลงทุน การบริโภค และการส่งออกในอนาคต 2. ด้านอุปทาน ผ่านการผลิตภาคอุตสาหกรรม และบริการที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น การคมนาคมขนส่ง ก่อสร้าง ไฟฟ้า ก๊าซ ประปา และค้าส่งค้าปลีก 3. ด้านการจ้างงาน 4. การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล 5. ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคผู้บริโภค 6. ผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ในโครงการที่ถูกระงับ และ 7. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จ.ระยอง และภาคตะวันออก

2.1 ผลกระทบด้านอุปสงค์ (Demand side)

การลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วน 16.7% ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักร 13.1% ของจีดีพีและการลงทุนด้านการก่อสร้าง 3.6% ของจีดีพี

o แต่ หากพิจารณาการลงทุนในบริเวณมาบตาพุด ที่ถูกชะลอมีเม็ดเงินประมาณ 229,637 ล้านบาท คิดเป็น 2.5 %ของจีดีพี ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้าง หากปัญหายืดเยื้อจะเกิดค่าเสียโอกาสด้านการส่งออกสินค้าบางรายการ ได้แก่ ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลาสติกเหล็ก เป็นต้น ซึ่งกินสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าส่งออกรวม อีกทั้งการสร้างท่าเทียบเรือที่ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกสินค้าในอนาคต

ผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนการสั่งชะลอการลงทุนจะกระทบต่อวงกว้างต่อ GDP ด้าน Supply side ที่สำคัญ คือ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40.2% ของจีดีพี

o ในภาคอุตสาหกรรมนั้น พบว่า มี 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ปิโตรเลียมและการกลั่น ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ พลาสติกและยาง เหล็กพื้นฐาน และเหล็กประดิษฐ์ ซึ่งทั้ง 5 อุตสาหกรรมมีสัดส่วนรวมกัน 16.6% ของภาคอุตสาหกรรม

o และมี 2 อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลทางอ้อม ได้แก่ การผลิตปูนซีเมนต์ (อุตสาหกรรมต้นน้ำ) และการผลิตยานยนต์ (อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง) มีสัดส่วนรวมกัน 18.4% ของภาคอุตสาหกรรม

o นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อภาคบริการที่เกี่ยวข้องอีก 4 สาขา ได้แก่ การคมนาคมขนส่ง 9.9% ของจีดีพี ไฟฟ้า ก๊าซ ประปา 3.4% ของจีดีพีการก่อสร้าง 2.2% ของจีดีพี และการค้าส่งค้าปลีก 13.7% ของจีดีพี

2.3 ผลกระทบต่อการจ้างงาน

o เมื่อ โครงการลงทุนถูกระงับ แรงงานจะถูกเลิกจ้างเกือบทั้งหมด ซึ่งหลายฝ่ายในพื้นที่ จ.ระยอง คาดการณ์ว่าจะมีแรงงานถูกเลิกจ้างทันที 80,000-100,000 คน ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง

o ผลกระทบรอบที่ 2 ที่ตามมา คือ การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลง หรือขยายตัวได้ไม่เต็มที่ 2.4 การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล

o เป็นที่ทราบกันดีว่า จ.ระยอง เป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่สุดของประเทศ และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จดทะเบียนในพื้นที่ หรือแม้จะจดทะเบียนในกรุงเทพฯ ก็ย่อมได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย

o นอกจากนี้ ยังมีผลต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่อาจจะลดลงตามการบริโภค และการจ้างงานที่ลดลง 2.5 ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคผู้บริโภค

o เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้เห็นแล้วในการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา (จัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย) พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงเป็นเดือนแรก หลังจากที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาหลายเดือน โดยหนึ่งในเหตุผลที่ผู้บริโภคระบุ คือ การระงับการลงทุนที่มาบตาพุด

o แม้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย) ยังไม่สะท้อนปัญหาดังกล่าว เพราะได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้าลดลง และอาจกระทบความเชื่อมั่นของต่างชาติบ้าง

2.6 ผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ในโครงการที่ถูกระงับ

o เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อสถาบันการเงินที่สนับสนุนเงินทุน สถาบันการเงินที่สนับสนุนเงินทุนอาจได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของสิน เชื่อ รายได้ และคุณภาพสินเชื่อ ขณะที่สถาบันการเงินแห่งอื่นๆ จะได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากการสั่งระงับโครงการ จะมีผลกระทบต่อการจ้างงาน ผู้รับเหมาก่อสร้าง ลูกค้าทั่วไป และอาจต่อเนื่องไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ให้กับสถาบันการเงินของผู้ที่ มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี สศค. ประเมินว่า การที่สถาบันการเงินไทยในภาพรวมยังมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับ สูงมากถึง 16.5% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากล (BIS) ที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 8.5% จึงคาดว่าสถาบันการเงินไทยยังสามารถรองรับความเสี่ยงจากผลกระทบในกรณีนี้ได้

2.7 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ จ.ระยอง และภาคตะวันออก

o เมื่อดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจ จ.ระยอง จะพบว่าเสาหลักเศรษฐกิจ คือ 1. ภาคอุตสาหกรรม และ 2. เหมืองแร่และย่อยหิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึง 78.3% ของ GPP

o นอกจากนี้ GPP per Capita ในปี 2551 ของ จ.ระยอง อยู่ที่ 1,137,470 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ สะท้อนกำลังซื้อในจังหวัดที่สูงมาก

o ดังนั้น ภาคการผลิตและภาคการใช้จ่ายใน จ.ระยอง ย่อมได้รับผลกระทบอย่างมาก จากเหตุการณ์ดังกล่าว

การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2553

o ใน กรณีไม่ได้รับผลกระทบนั้น คาดว่าเม็ดเงินลงทุนที่ถูกระงับจะสามารถทยอยลงทุนได้ภายในปี 2553 ประมาณ 50% และปี 2554 อีกประมาณ 50% ของวงเงินที่ถูกระงับการลงทุน (2.3 แสนล้านบาท)

o ผล กระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถแยกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีที่กระทบเล็กน้อย คือ แทนที่จะลงทุนในปี 2553 ได้ 50% ของวงเงินที่เหลือ กลับลงทุนได้เพียง 33% ของวงเงินที่เหลือเท่านั้น และกรณีกระทบรุนแรง คือ ไม่มีเม็ดเงินลงทุนเลยในปี 2553

o โดยสมมติเพิ่มเติมว่า 1. มีการลงทุนจริงเกิดขึ้นแล้ว 20% ของวงเงินลงทุนของโครงการ 2.29 แสนล้านบาท หรือเป็นเงิน 4.58 หมื่นล้านบาท และ 2. โครงการตามปกติจะใช้เวลาลงทุนก่อสร้างประมาณ 2 ปี

จากผลการประเมินพบว่าเหตุการณ์มาบตาพุดจะกระทบต่อจีดีพี -0.2 ถึง -0.5% จากกรณีปกติ

1.กรณี ปานกลาง จีดีพี จะลดลง -0.1783% ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลเพิ่มจำนวน +0.6488 พันล้านดอลลาร์ และการจ้างงานทางตรงทางอ้อมลดลงจำนวน 66,000 คน จากกรณีไม่ได้รับผลกระทบ

2.กรณีรุนแรง จีดีพีจะลดลง -0.5228% ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลเพิ่มจำนวน +1.9372 พันล้านดอลลาร์ และการจ้างงานทางตรงทางอ้อมลดลง 193,000 คน จากกรณีไม่ได้รับผลกระทบ

3.ในความเป็นจริง การชะลอการลงทุน จะทำให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุนชะลอตามไปด้วย แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Import Content ผลที่มีต่อดุลบัญชีเดินสะพัด จึงอาจคลาดเคลื่อนได้

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ประเทศไทยจะหันมาจริงจังกับเรื่องการสร้างสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตของ เศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน เพื่อก้าวเข้าสู่ Green Economy และ Green Society อย่างแท้จริง

3. ทางออกของปัญหาการระงับการลงทุนที่บริเวณมาบตาพุด

3.1 ทางออกในระยะสั้น

• โครงการที่ศาลปกครองเห็นว่าไม่มีผลกระทบ สามารถเร่งดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการลงทุนได้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะโครงการที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม

• โครงการที่ถูกระงับ 65 โครงการ ต้องดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 2 คือ เดินหน้าจัดทำ EIA และการศึกษาของผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) รวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนและองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อให้โครงการเหล่านี้สามารถเดินต่อไปได้

• ทั้งนี้ ทางออกในระยะสั้นที่ควรเร่งดำเนินการ คือ ให้คณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เร่งดำเนินการสร้างความชัดเจนให้โครงการที่ถูกระงับสามารถดำเนินการตามขั้น ตอนรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 2 โดยเร่งทำการศึกษาของผลกระทบด้าน EIA และ HIA รวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อให้โครงการเหล่านี้มีความชัดเจน และสามารถขออนุมัติศาลปกครองเป็นรายๆ ไป เพื่อให้การลงทุนสามารถเดินหน้าต่อไปได้

3.2 ทางออกในระยะกลาง-ระยะยาว

• การกระจายอุตสาหกรรมในเชิงเศรษฐกิจ คือ อาจจะเพิ่มสัดส่วนของการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น หรือกระจายไปยังอุตสาหกรรมเกษตร

• การกระจายในเชิงพื้นที่ คือ อาจจะต้องเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในการสนับสนุนให้ Southern Seaboard เป็นฐานการลงทุนและฐานการผลิตขนาดใหญ่แหล่งใหม่ในภาคใต้



เอกชนชี้สูญรายได้2.6แสนล้าน

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับผู้ประกอบการวานนี้ (4 ธ.ค.) ว่า ที่ประชุมยังหวังที่จะให้โครงการที่ถูกระงับ 65 โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ แต่ภาครัฐก็ยังไม่มีหลักเกณฑ์อะไรออกมา ผู้ประกอบการต้องการให้โครงการที่ถูกระงับ ดำเนินการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพ (เอชไอเอ) ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหา

โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างไม่ถือว่ากระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง แต่ต้องการให้ภาครัฐเร่งกำหนดแนวทางเอชไอเอ เพราะต้องใช้เวลาดำเนินการมากกว่า 14 เดือน เนื่องจากไทยยังมีผู้เชี่ยวชาญไม่มาก ผู้เกี่ยวข้องยังมีปัญหาไม่มีประสบการณ์การทำเอชไอเอ เท่ากับโครงการที่ถูกศาลปกครองสั่งระงับจะต้องหยุดดำเนินการไม่น้อยกว่า 14 เดือน

นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เอกชนไม่มีแนวคิดที่จะฟ้องร้องรัฐเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แต่เห็นว่าภาครัฐควรมีแนวทางเยียวยาเอกชน อาทิเช่น การเร่งออกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เพราะค่าเสียหายจากการสูญเสียรายได้ของโครงการที่ถูกระงับคงจะเรียกร้องไม่ ได้ เพราะเป็นรายได้ในอนาคต ส่วนภาระภาษีและดอกเบี้ยต้องหารือว่ารัฐจะช่วยเหลืออย่างไร แต่ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนได้ประเมินโครงการลงทุนในมาบตาพุด 65 โครงการ มีมูลค่าการลงทุน 2.3-2.5 แสนล้านบาท โครงการดังกล่าวมีรายได้ที่ประเมินไว้ปีละ 2.6 แสนล้านบาท ช่วงก่อสร้างใช้คนงานก่อสร้าง 37,000 คน และพนักงานประจำ 10,000 คน โดยรายได้คนงานก่อสร้างจะอยู่ที่คนละ 20,000 บาทต่อเดือน รวมแล้วตกปีละ 1 หมื่นล้านบาท

ที่มา ข่าวมาบตาพุด ข่าวปัญหาสิ่งแวดล้วม ข่าวการเงิน การลงทุน จาก Suthichaiyoon.com

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

ASTV ผู้จัดการ News

กรุงเทพธุรกิจ - ข่าวหน้าแรก

เกาะติดสื่อ ตามข่าวร้อน Copyright © 2009 WoodMag is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template