ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ

12 มกราคม 2553

"เขายายเที่ยง" เงาสะท้อนป่าสงวน

ไทยโพสต์ - เปลว สีเงิน : นี่...ผมก็ไม่รู้จะปรารภเรื่อง "ที่ดินป่าสงวนเขายายเที่ยง" กับเจ้ากระทรวงไหนดี เพราะเจ้าภาพมีทั้ง "กรมป่าไม้" ของกระทรวงเกษตรฯ และ "กรมอุทยานแห่งชาติ" ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อดูๆ ฟังๆ แล้ว เกิดความรู้สึกว่า ถ้าไม่ออกมาแจมอะไรกับเขาบ้างในภาวะ "หน้าข้าว-หน้าเหล้า" อย่างนี้ เดี๋ยวเชยตายห่ะ...!

แต่แหม...พูดแล้วก็คันปาก ไอ้ป่าไม้กับอุทยานนี่ มันคงคนละโคตรวงศ์พงศาน่าดูเลย ไม่งั้นปราชญ์แห่งระบบงานราชการงานไทยเขาคงไม่จับแยกไปอยู่คนละกรม แถมคนละกระทรวงพิลึกกึกกืออย่างนี้

ก็คงต้องจุดธูปถามเฮียทักษิณเขาแหละ เพราะสูตรนี้มาจากเขาเมื่อครั้งเป็นใหญ่ในฐานะ "หัวหน้ารัฐบาลไทย" เขาจับกระทรวงทั้งหมดมายำใหญ่แยกเป็น ๑๙ กระทรวง แยกแล้วฉีกงานในลักษณะเดียวกันไปอยู่คนละกระทรวง สองกระทรวง บางกระทรวงตั้งขึ้นมาแล้วจนถึงทุกวันนี้ ข้าราชการเองยังงงว่า

"มันมีงานสำคัญอะไรถึงขนาดต้องแยกมาตั้งเป็นกระทรวงหว่า"?

เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นต้น นอกจากมีเก้าอี้รัฐมนตรีให้นักการเมืองนั่งแล้ว ผมก็ยังนึกไม่ออก เอ้า...ใครนึกได้มารับรางวัลไปเลย

ห้ามตอบว่า "ปลากระป๋องเน่า" นะ!?

การผ่าตัด เปลี่ยนแปลง จัดหมวดหมู่ใหม่ที่เรียกว่า "ปฏิรูประบบราชการ" นั้น แนวคิดดี แต่วิธีการมันซ่อนเล่ห์ ซ่อนเป้าหมาย หาดีแทบไม่ได้ ดูอย่างกระทรวงไอซีที เป็นตัวอย่าง

งานแรกที่ขึ้นหน้าขึ้นตาคืออะไรผมก็ไม่ทราบ แต่ที่เห็นๆ ก็คือ มีการแก้ไข-เปลี่ยนแปลงสัญญา และผลประโยชน์แบ่งรัฐในธุรกิจโทรคมนาคมหลายครั้งหลายครา ในขณะที่บริษัทเอกชนรวยตาปิด ปรากฏว่ารัฐวิสาหกิจที่เคยสร้างผลกำไรให้รัฐเป็นกอบเป็นกำคือ "องค์การโทรศัพท์"

เป็นซี่โครงไก่ต้มฟักจนถึงทุกวันนี้!

เอ้า...มาเข้าเรื่องดีกว่า ประเด็นคือ ผมอยากจะเตือนสติตั้งแต่ "หัวหน้ารัฐบาล" เรื่อยลงไปถึงระดับอธิบดีกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ว่า

"จงตั้งสติ" ให้ดีก่อนที่จะพูด และจะกำหนดมาตรการอะไรลงไป เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินป่าสงวนบริเวณเขายายเที่ยง และอีกหลายๆ แห่งทั่วประเทศ

พูดง่ายๆ คือ อย่าทำงานแบบคนบ้าจี้ หรือแบบเต่าถูกไม้แยงก้น เพราะการทำเช่นนั้น แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า การทำด้วยความกลัวม็อบ กลัวพวกเสื้อสีนั้น มันจะ "สร้างปัญหา" เพิ่มในปัญหาหนักขึ้น!

กรณีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กับที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ใช่ ๑ ใน ๑๐๐ แต่เป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ ใน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ที่มีอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ นี่...ผมไม่ได้ยกมาพูดในความหมายว่า "ใครๆ ก็บุกรุกป่าสงวน ฉะนั้น ไม่เห็นเป็นไรเลย"

แต่ผมยกมาชี้ให้เห็นในประเด็นว่า สมมุติเจ้าของบ้านเขายายเที่ยงไม่ได้ชื่อ "พลเอกสุรยุทธ์" หรือถึงชื่อพลเอกสุรยุทธ์ แต่ไม่ได้มาเป็นนายกฯ คมช. อันเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณ

แล้วพวกเสื้อแดงจะยกกำลังมาเย้วๆ อย่างวันนี้มั้ย?

นั่นคือ พวกเสื้อแดงเขาใช้กรณีบ้านเขายายเที่ยงเป็นเหตุแสดงบทผู้พิทักษ์ป่าสงวน เพียงเพื่อโจมตี-ล้างแค้นเอากับพลเอกสุรยุทธ์เท่านั้น ใช่ว่าทำเพื่อป่าสงวนอันเป็นส่วนรวมก็หาไม่ และด้วยความแค้นหวังเข่นฆ่าพลเอกสุรยุทธ์เป็นหลัก ทำให้พวกเขาลืมไปว่า การยกเรื่องถือครองป่าสงวนในลักษณะนี้มาเป็นเหตุ

เหมือน "เผาป่าสงวน" ทั้งประเทศ ด้วยหวังฆ่าพลเอกสุรยุทธ์เพียงคนเดียว แต่ชาวบ้านซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย นับเป็นสิบล้าน-ร้อยล้านคน "พลอยซวย" ถูกไฟคลอกตายตามไปด้วย!

ด้ายที่ถูกขยุ้มสุมไว้จนยุ่งเหยิงทั้งกลุ่มนั้น ถ้าใจร้อน และไม่ใช้สติในการแก้ด้วยการค้นหา "หัวด้าย" ให้พบก่อนแล้วค่อยสาวไป ต่อให้แก้ด้วยวิธีอื่นใดๆ เอามีดมาตัด เอาปืนมายิง มันก็ไม่มีทางแก้ได้สำเร็จ

ถ้าจะว่าไปแล้ว การถือครองป่าสงวน "บ้านเขายายเที่ยง" ของพลเอกสุรยุทธ์ ท่านก็ถือครองในลักษณะสังคมตามๆ กันไป คือปล่อยปละละเลยกันมาเรื่อยๆ เหมือนการเล่นหวยใต้ดินทุกวันนี้ ทุกคนรู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ปล่อยให้เล่นกันจนกลายเป็นการพนันคู่สังคมไทย

ในทำเนียบฯ บนโรงพัก ในรัฐสภา ก็มีคนซื้อ-ขายหวยใต้ดิน ผมเชื่ออย่างนั้น!

แต่นั่นไม่ได้เชื่อด้วยการยอมรับ แต่เชื่อความเป็นอยู่จริงซึ่ง "คู่ขนานสังคมมนุษย์" ถามว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปราบปรามมั้ย...ก็ปราบกันทุกวัน เหมือนปราบโจร ปราบคนทำผิดกฎหมาย แต่ท่านเคยเห็นมั้ยว่ามีที่ไหนในโลก "ปราบได้สูญพันธุ์" เด็ดขาด?

การบุกรุกถือครองป่าสงวนเช่นกัน เจ้าหน้าที่ก็ปราบ คนเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การต้องการที่อยู่-ที่ทำกินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตึงบ้าง หย่อนบ้าง รู้เห็นเป็นใจบ้าง บุกรุกซะเองบ้าง ไม่เว้นทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ

แม้กระทั่งพระที่ "ป่า" คือบ้านของท่านตามพระธรรมวินัย เมื่อสังคมเปลี่ยนไป การอยู่ป่าวิถีพระกลายเป็น "บุกรุกถือครองป่าสงวน" ในทัศนคติรัฐและชาวบ้านบางส่วนไปแล้วก็มี!?

นั่นคือ จะใช้แค่คำว่า "บุกรุกยึดครองป่าสงวน" เป็นคำชี้ขาดการกระทำในทุกกรณี จากทุกพื้นที่ จากทุกคน ไม่น่าจะสอดคล้องกับเหตุปัจจัยแห่งการเกื้อกูลบนการอยู่ร่วมกันระหว่าง ธรรมชาติกับมนุษย์และสัตว์

ทางที่ดี ควรศึกษา ควรแยกแยะ และจัดหมวดหมู่ ในแต่ละพื้นที่ แต่ละเหตุปัจจัย ควรยึดสภาพเป็นจริงอดีต-ปัจจุบัน เป็นฐาน และใช้กฎหมายประกอบในแต่ละชั้นของปัญหา และแต่ละชั้นความเป็นมาของป่าสงวนนั้นๆ

สรุปคือ ในความเห็นของผม เรื่องการยึดครองป่าสงวน ต้องไม่ตะลุยแก้โดย "ใช้กฎหมาย" ปราบ แต่ควรจะแก้โดย "บริหาร-จัดการ" ค่อยๆ แยกแยะในแต่ละพื้นที่ เพราะในขณะที่กฎหมายอันใช้ทั่วไปบัญญัติไว้ในมุมกว้าง แต่ในปัญหาจริง มันมีเงื่อนไขเป็นมุมเฉพาะของมันในแต่ละพื้นที่อยู่

นั่นคือ ใช้กฎหมายครอบจักรวาลแก้ไม่ได้ ต้องใช้ "การบริหาร-จัดการ" เป็นขบวนนำกฎหมายเพื่อแก้!

ที่ต้องอย่างนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียว คือ ทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์ ร่วมกันชำเราป่า และละเลยกฎหมาย หมักหมมจนแปลงสภาพเป็น "ขนบธรรมเนียมประเพณี" เมื่อใช้กฎหมาย ก็ต้องจนใจเมื่อเจอคำว่า "ก็อยู่กันมาตั้งแต่ครั้งปู่ ย่า ตา ยาย"

ฉะนั้น การบริหารปัญหากรณียึดครองที่ดินป่าสงวนบริเวณเขายายเที่ยง ต้องศึกษาประเด็นอันเป็นเป้าหมายให้ชัด ถ้าไม่ชัด ตาลี-ตาเหลือก ลนลานสักแต่ว่าแก้เพราะกลัวพวกเสื้อแดง จะป่นปี้ยี่ยำกันไปหมดทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์

สมมุติให้เห็นภาพอย่างนี้ แล้วจะเห็นช่องบริหารปัญหา คือสมมุติว่า ไฟป่าไหม้บ้านพักเขายายเที่ยงจนดับไม่ได้ พวกคุณเป็นกรมป่าไม้ เป็นกรมอุทยาน จะบริหารไฟป่าที่ดับไม่ได้ด้วยวิธีไหน เพื่อให้ความสูญเสียมีน้อยที่สุด?

ก็ไม่ทราบสำหรับท่าน แต่ถ้าเป็นผม ในสภาพนั้น จะไม่เปลืองน้ำ-เปลืองคนไปดับ จะปล่อยให้บ้านเขายายเที่ยงเป็นอาหารไฟไปเลย แต่จะระดมคน ระดมน้ำทั้งหมด ไปฉีดสกัดไม่ให้ไฟลุกลาม หรือปลิวกระเด็นไปลุกไหม้กินพื้นที่ขยายวงกว้างออกไปมากกว่านั้น พูดง่ายๆ คือ ปล่อยให้ไหม้ไปหลังเดียว แต่รักษาป่า และบ้านทุกหลังเอาไว้

ดังนั้น ที่กรมป่าไม้ และกรมอุทยาน และใครต่อใคร "ประชุมด่วน" กันวานนี้ เพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหานั้น ผมก็เข้าใจ เพราะสัญชาตญาณยามสติแตก คิดอะไรไม่ออก มันก็มีสูตรสำเร็จของมันอยู่ คือ ประชุม แล้วลงมติ "ตั้งคณะกรรมการสอบ"

สอบอะไร และทำไมเพิ่งมาสอบก็ไม่รู้แหละ รู้อยู่อย่างเดียว อาศัยเวลา "ดองปัญหา" ไว้ซักเดือน-สองเดือน ต่อจากนั้น เรื่องราวไปทางไหน ค่อยหันใบรับลมไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านวัน-ปี จนถึงวาระเกษียณพ้นทุกข์-พ้นร้อนเฉพาะตัวไปเอง!

ความจริงปัญหานี้ไม่ต้องสอบ เพราะกรมป่าไม้ร่วมออกข้อสอบนี้มาเองเป็นสิบ-เป็นร้อยปีแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ "แนวทางที่ชัดเจน" ว่าจะบริหาร-จัดการเรื่องถือครองที่ดินป่าสงวนไปแบบไหน เพื่อคลายความอึดอัด-ขัดข้องของชาวบ้านอีกมากมายที่กระวนกระวายอยู่ขณะนี้ ด้วยไม่รู้ว่า "ทางการจะเอาอย่างไร"?

ระวัง...ไม่ทำให้ชัดเจนมากเท่าไหร่ เท่ากับสุมเชื้อไฟในใจชาวบ้านมากขึ้นเท่านั้น!

ที่พวกเสื้อแดงพูดว่า "ยึดที่ดินบ้านพลเอกสุรยุทธ์ที่เดียวไม่ได้ ใครบุกรุกต้องยึดหมดทุกคน" นั้น ก็สักแต่พูดตามน้ำไปอย่างนั้น ขืนทางการทำเถรตรงยึดหมดจริงๆ พวกเสื้อแดงด้วยกันนั่นแหละ เผลอๆ อาจถูกยึดระนาว และอันที่จริง ใครยึดครองที่ดินป่าสงวนบ้างนั้น ถ้าอยากรู้จริงๆ คนเสื้อแดงถามเอาได้จาก "นายปลอดประสพ สุรัสวดี"

เพราะเขาเคยเป็น "อธิบดีกรมป่าไม้" มาก่อน สมัยที่เป็นอยู่ พลเอกสุรยุทธ์น่าจะถือครองที่ดินเขายายเที่ยงผืนนี้แล้ว แต่ทำไมอธิบดีปลอดประสพไม่กางกฎหมายจัดการฐาน "บุกรุกป่าสงวน" เสียตอนนั้น เพิ่งมารักป่ากันอีตอนพลเอกสุรยุทธ์ไม่รักนายแม้วนี่แหละนะ!?

เท่าที่ฟัง เมื่อกระบวนการกฎหมายโดยอัยการชี้ขาดออกมาแล้ว พลเอกสุรยุทธ์ท่านก็ปฏิบัติตาม ในเมื่อเป็นป่าสงวนจะเอาคืน ท่านก็คืนให้ ในขั้นตอนนี้ ผมก็อยากให้บริหารไฟที่ไหม้อยู่เฉพาะที่ตรงนี้ ไม่ควรให้ลาม

รัฐบาล หรือกรมป่าไม้ กรมอุทยาน อย่าลนลาน ด้วยการ "กางกฎหมาย" พูดคลุมเครือเรื่องยึดคืน หรือใช้กฎหมายจัดการกับชาวบ้านด้วยสาระที่ยังไม่ชัดเจน ให้ชาวบ้านเขาเกลียดพวกเสื้อแดงที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนโดยใช่เหตุไปฝ่าย เดียวเถอะ อย่าให้ต้องเกลียดและตั้งป้อมเผชิญหน้ากับรัฐอีกฝ่ายเลย เพราะต้องไม่ลืมว่า...

ในความผิด ๑๐๐% ของชาวบ้านที่ยึดครองป่าสงวน ครึ่งหนึ่งคือ ๕๐% ของความผิดนั้น เป็นความผิดในมาตรา ๑๕๗ ของกรมป่าไม้-กรมอุทยานด้วย ฐานละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่รัฐสืบๆ กันมา.

ข่าว ชุมนุมเสื้อแดง ข่าวปัญหาที่ดินเขายายเที่ยง ข่าวสุรยุทธ์ จาก ไทยโพสต์

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

ASTV ผู้จัดการ News

กรุงเทพธุรกิจ - ข่าวหน้าแรก

เกาะติดสื่อ ตามข่าวร้อน Copyright © 2009 WoodMag is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template