
แม่"ศิวรักษ์"บินฟังศาลตัดสินลูกชาย
เมื่อ เวลา 06.00 น. วันที่ 7 ธ.ค. ที่ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกรัฐบาลประเทศกัมพูชาจับกุมตัว พร้อมนายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ น้องชายนายศิวรักษ์ เตรียมขึ้นเครื่องเดินทางไปรับฟังคำตัดสินของศาลกัมพูชาในคดีของบุตรชายที่ จะมีขึ้นในวันที่ 8 ธ.ค. โดยเดินทางด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เที่ยวบิน พีจี 0931 จากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังกรุงพนมเปญ เครื่องจะออกเดินทางในเวลา 07.40 น. มีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางมาส่งถึงสนามบิน
นางสิมารักษ์ กล่าวก่อนเดินทางว่า การเดินทางไปรับฟังคำตัดสินของศาลกัมพูชาครั้งนี้ ได้เตรียมทำใจไว้แล้ไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่การเดินทางไปเป็นกำลังใจให้บุตรชายครั้งนี้ก็อาจมีข่าวดีสำหรับเรา ในส่วนของคดีความตอนนี้ได้เปลี่ยนตัวทนายความคนใหม่แล้ว เพื่อนของบุตรชายเป็นผู้แนะนำเข้ามา ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับทนายความคนใหม่และกระทรวงการต่างประเทศในเรื่อง ของการขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะต้องรอฟังตัดสินของศาลก่อน วันที่ 8 ธ.ค. จะเดินทางไปรอรับฟังคำตัดสินของศาลกัมพูชาตั้งแต่เวลา 07.30 น. จะไม่มีการยื่นขอประกันตัวบุตรชายแม้ผลของคดีจะออกมาในทางลบ เนื่องจากทนายความคนใหม่แนะนำว่าถ้าขอประกันตัวจะทำให้ระยะเวลายืดเยื้อออก ไปอีก ตอนนี้ตนต้อง การทราบผลการตัดสินโดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้หาทางแก้ไขปัญหาต่อไป
ไม่เกี่ยงฝ่ายไหนช่วยเหลือ
ผู้ สื่อข่าวถามว่า หากผลคดีออกมาในด้านลบจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ นางสิมารักษ์ กล่าวว่า วันนี้ คงได้พูดคุยกับทนายความคนใหม่ในเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวถ้าผลออกมาเช่นนั้นเราคงทำตามระบบ ขั้นตอนและกระบวนการยุติธรรมของประเทศกัมพูชาว่าต้องดำเนินการอะไรหลังจาก นั้น เราก็อาจดำเนินการตามนั้น เมื่อถามว่าโดยส่วนตัวรู้สึกและคาดหวังให้คดีความออกมาในรูปใด นางสิมารักษ์ กล่าวว่า อยากให้ผลการพิจารณาออกมาในทางที่ดี ตนคงไม่อยากได้รับฟังคำตัดสินที่เป็นผลร้ายหรือผลไม่ดีกับครอบครัว ตอนนี้ยังมีความมั่นใจในส่วนของคดี 50 ต่อ 50 ไม่ทราบว่าจะออกมาในรูปใดก็ต้องเตรียมทำใจไว้ไม่ว่าผลของคดีจะออกมาอย่างไร เมื่อคืนก็กังวลจนนอนไม่หลับ ก็ไม่อยากรับฟังคำตัดสิน ว่ามีความผิด
เมื่อ ถามว่าขั้นตอนของการขอพระราชทานอภัยโทษสามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมงเลยหรือไม่ นางสิมารักษ์ กล่าวว่า คงไม่เร็วถึงขนาดนั้น เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะสามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้หรือไม่ เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยถึงการขอพระราชทานอภัยโทษหรือ ไม่ นาง สิมารักษ์ กล่าวว่า ได้หารือกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้ ตนอยากขอความเมตตาให้พรรคเพื่อไทยและกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือ ส่วนที่มีหลายฝ่ายมองว่าการช่วยเหลือบุตรชายเป็นเกมการเมือง ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น ถ้าเป็น เกมการเมืองก็คงมีปัญหาและเราก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้น ตนอยากให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุด ไม่ว่าจะทางใดก็ตามที่เราเห็นว่าเป็นทางที่ดีที่จะทำให้บุตรชายพ้นออกมาเร็ว ที่สุด ตนก็จะขอเลือกทางนั้น แต่ก็ยังไม่อยากทิ้งหนทางออกอื่นๆ
เมื่อ ถามว่าหลังจากขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทย กระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อเข้ามาหรือไม่ นางสิมารักษ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อและพูดคุยกันเช่นเดิม ทางกระทรวงก็รู้สึกเห็นใจและเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่
เผยถ้าหลุดคดีจะให้ลูกบวช
นาย พร้อมพงศ์ กล่าวว่า หลังจากนี้คงต้องรอติดตามผลการพิจารณาของศาลกัมพูชาว่าจะออกมาในด้านบวกหรือ ด้านลบ ซึ่งถ้าออกมาในด้านบวก ทางนางสิมารักษ์ก็เตรียมจะพาตัวบุตรชายกลับประเทศไทยและบวชเป็นพระภิกษุ เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต แต่หากผลการพิจารณาออกมาในด้านลบพรรคเพื่อไทยได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือและ หาทางออกไว้แล้ว วันนี้ตนนำร่างหนังสือที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ร่างขึ้นมาให้นางสิมารักษ์ ตรวจสอบรายละเอียดในหนังสือที่เขียนถึงสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยต้องการให้นึกถึงความสัมพันธ์ที่ดีในอดีตที่ผ่านมาของทั้ง 2 ประเทศ และได้ขอความเมตตาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่หนังสือดังกล่าวต้องถูกนำเข้าที่ประชุมยุทธศาสตร์การเมือง เพื่อให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาและตรวจสอบอีกครั้ง
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ นางสิมารักษ์ยังร้องขอผ่านนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว. การต่างประเทศ ไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยนาย นพดล ได้ร่างหนังสือขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งในนามของพ.ต.ท.ทักษิณ รายละเอียดในหนังสือพูดถึงความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศเช่นกัน อีกทั้งยังขอความช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชา หากผลการพิจารณาคดีออกมาในด้านลบ เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษ ได้หรือไม่ นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า หากผลออกมาในด้านลบพรรคจะส่งหนังสือตามไปในภายหลัง เรื่องนี้เราแค่เตรียมการตามที่นางสิมารักษ์ ร้องขอมาเท่านั้น
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางไปรอรับฟังคำตัดสินของศาลในครั้งนี้ นางสิมารักษ์ มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และเตรียมเสื้อผ้าไปจำนวนหนึ่งเพื่อพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาเพราะอาจต้องเดิน เรื่องคดีของบุตรชายอีกหลายวัน พร้อมนำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ติดตัวไปด้วย เพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลให้เรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี ด้านนายพร้อมพงศ์ ฝากพระรอดไปให้นายศิวรักษ์
บัวแก้วเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัว
จาก นั้น นายพร้อมพงศ์ พานางสิมารักษ์มาส่งให้น.ส.มธุรพจนา อินทะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ 2 คน ที่จะเดินทางไปยังกัมพูชา เพื่อร่วมรับฟังคำตัดสินของศาลด้วย
น.ส.มธุร พจนา กล่าวว่า แม้นางสิมารักษ์ จะขอเปลี่ยนทนายความคนใหม่ กระทรวงต่างประเทศก็ยังพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เหมือนเดิมทุก ประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ และเพื่อประโยชน์ของนายศิวรักษ์ ที่ถือเป็นคนไทยคนหนึ่ง ส่วนที่มีหลายฝ่ายมองว่าขณะนี้เรื่องดังกล่าวกำลังเป็นเกมการเมืองไม่อยาก ให้คิดเช่นนั้น แม้นางสิมารักษ์ จะไปขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทยก็ตาม
น.ส.มธุร พจนา กล่าวว่า ขั้นตอนการดำเนินการในวันที่ 8 ธ.ค. ศาลได้นัดพิจาณาคดีเป็นนัดแรก ซึ่งยังไม่ทราบว่าศาลจะสามารถตัดสินได้เลยหรือไม่ แต่คาดว่าน่าจะตัดสินคดีในวันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมหลักทรัพย์ไปจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้สำหรับประกันตัวนาย ศิวรักษ์ หากผลการพิจารณาของศาลออกมาในด้านลบ อีกทั้งวันนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานไปยังกรมราชทัณฑ์ ประเทศกัมพูชา เพื่อขอเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับคำตอบว่าสามารถเข้าเยี่ยมได้หรือไม่
เมื่อ ถามว่าการที่นางสิมารักษ์ เตรียมขอพระราชทานอภัยโทษสามารถดำเนินการได้หรือไม่ น.ส.มธุรพจนา กล่าวว่า ต้องตรวจสอบกับทางทนายความคนใหม่ คงไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกำลังนัดหมายทนายความคนใหม่ให้มาพูดคุยกัน ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน อาจมีการสอบถามในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้รมว.การต่างประเทศไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่มอบหมายให้ตนและเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดินทางไปถึงกัมพูชา นางสิมารักษ์ พยายามติดต่อขอเข้าเยี่ยมลูกชายแต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเรือนจำเปรยซอ แต่ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ในที่ทำงานของลูกชาย ก่อนนัดหมายให้มาฟังการตัดสินคดีพร้อมกันช่วงเช้าวันที่ 8 ธ.ค.
กต.โต้"ฮุนเซน"ต้องทบทวนท่าที
นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุนเซน ยื่นข้อเสนอขีดเส้นตายให้นายอภิสิทธิ์ ส่งเอกอัครราชทูตกลับไปประจำยังกรุงพนมเปญ ไม่เช่นนั้นกัมพูชาจะงดรับความช่วยเหลือจากไทย ว่า มี 2 เหตุผลที่ไทยเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศคือ การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสมเด็จฮุนเซน และการที่กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กับข้าราชการกระทรวงหารือกันอย่างใกล้ชิด นายกษิต ยังมีความหนักแน่นและเห็นว่าที่ผ่านมาไทยได้แสดงท่าทีชัดเจนมาตลอดว่าปัญหา เรื่องนี้อยู่ที่ไหน หากฝ่ายกัมพูชาต้องการแก้ไขก็ต้องทบทวนและตอบ 2 โจทย์นี้ให้ได้
เลขานุการรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศไทยทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน มีเหตุและผล แสดงถึงวุฒิภาวะในการตัดสินใจ หากต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ขอให้ไทยส่งเอกอัครราชทูตกลับไปประจำการ กัมพูชาก็ต้องกลับไปแก้ไข 2 โจทย์นี้ ไม่ใช่เรื่องเงินกู้ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ฝ่ายไทยไม่มีอะไรต้องกังวลและพร้อมจะพูดคุยกับกัมพูชา ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันกลับมาดีเหมือนเดิม เนื่อง จากคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนสองประเทศเป็นสำคัญ
"มาร์ค-เทือก"ปรับครม.หลังซักฟอก
รายงาน ข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่า ภายหลังมีกระแสข่าวการปรับครม. แกนนำ พรรค นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรค ได้นั่งจับเข่าหารือกันเพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ถึงการปรับครม. ตัวบุคคลที่เหมาะสม รวมถึงปัจจัยต่างๆ ภายหลังการหารือทั้งนายสุเทพและแกนนำพรรค ได้ข้อสรุปตรงกันว่าไม่ควรปรับ ครม.ในช่วงนี้ เนื่อง จากอาจทำให้กระทบกับคะแนนเสียงในพรรคร่วมรัฐบาล เพราะการปรับครม.แต่ละครั้ง นอกจากทำให้ภายในพรรคประชาธิปัตย์เกิดแรงกระเพื่อมแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาลได้ และจะทำให้เกิดปัญหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเตรียมขอ เปิดอภิปรายทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยทั่วไปช่วงปลายเดือน ม.ค.ปี 2553 ดังนั้น หากจะปรับครม. ควรทำหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปแล้ว ข้อเสนอดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ก็เห็นชอบด้วย
รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ส่วนที่มีการอ้างกันถึงสัญญา 1 ปี แล้วจะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีโควตาของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ความจริงนายอภิสิทธิ์ เคยพูดกับคนในพรรคที่พลาดหวังจากการเป็นรัฐมนตรีจริง แต่ใช้คำว่าหากครบ 1 ปีแล้วจะหมุนเวียนคนที่ทำงานได้ให้มาช่วยงานรัฐบาล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของพรรคและนโยบายที่นายกฯ แถลงต่อสภา ดังนั้น ก่อนสิ้นปีนี้จะไม่มีการปรับ ครม. อย่างแน่นอน เพราะยังไม่ครบเวลา 1 ปี
คนอกหักจะเสียบได้ต้องเก่งด้วย
รายงานข่าวเผยว่า ส่วนการประเมินผลงานรัฐมนตรีแต่ละคนนั้น นายกฯจะดูในภาพรวมว่าทำตามนโยบายของพรรคหรือไม่ และผลของการทำงานแต่ละคนเป็นอย่างไร หากรัฐมนตรีแต่ละคนยังทำงานได้ดี เป็นไปตามนโยบายของพรรคและนโยบายของรัฐบาลก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปรับ เปลี่ยนตัวบุคคล การปรับครม.จะต้องดูความสามารถของแคนดิเดตรัฐมนตรีที่อยู่ในบัญชี 2 ซึ่งอกหักจากครั้งที่แล้ว ทั้ง 7 คนด้วยว่ามีความเหมาะสมด้านใดบ้าง ไม่ใช่จะเอาใครไปใส่ตำแหน่งไหนก็ได้
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวมีโผรายชื่อการปรับครม.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่มีใครจะไปมีโผได้ เพราะเป็นอำนาจของนายกฯ ส่วนที่มีข่าวว่าตนพร้อมรับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นการถามของผู้สื่อข่าวว่าถ้า มีการปรับครม.พร้อมหรือไม่ ตนก็ต้องบอกว่าพร้อม ถ้าบอกว่าไม่พร้อมก็ไม่ใช่ที่ และหากมีการปรับ ครม. แล้วตนจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะอยู่ที่นายกฯ ว่าเห็นสมควรจะมีการปรับหรือไม่
"นิพิฏฐ์"ข้องใจ"วีระชัย"นั่งรมต.
เมื่อ ถามว่ามีข่าวว่าออกมาทวงสัญญา 1 ปีจากนายกฯ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่มีสัญญาอะไร เพียงแต่ตอนจัดตั้งครม.เมื่อเดือนธ.ค.51 ตนสงสัยว่าทำไมนายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต. ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเลยเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร และขณะนั้นตนเป็นครม.เงา มีตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ แต่นายวีระชัย กลับได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ก็ไปถามนายกฯว่าเข้ามาได้อย่างไรเพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ขณะนี้ก็ไม่ทราบว่านายวีระชัย เป็นสมาชิกพรรคหรือยัง ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่ได้ติดใจอะไร
ต่อข้อถามว่ายืนยันหรือไม่ว่าไม่ได้มีการสัญญา อะไร นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า นายกฯไม่ได้สัญญาอะไร เพียงแต่ถามกรณีของนายวีระชัย เท่านั้น และเรื่องที่ตนคุยกับนายกฯ ก็ไม่สมควรนำมาเปิดเผย เมื่อนายกฯชี้แจงเหตุผล ก็เข้าใจ ในเมื่อนายกฯ เป็นแม่ทัพเราก็ต้องฟังคำสั่งแม่ทัพ ในสังคมถ้าไม่ฟังแม่ทัพก็ไปไม่ได้ ทั้งหมดจึงอยู่ที่นายกฯ
เมื่อถามว่าหากมีการปรับครม.เกิดขึ้นจริง จะทำให้ในพรรคเกิดแรงกระเพื่อมหรือไม่ นาย นิพิฏฐ์ กล่าวว่าไม่น่าจะมีแรงกระเพื่อม เวลามีความเคลื่อนไหวอย่างนี้คนก็พูดตลอดว่าประชาธิปัตย์มีความขัดแย้งกัน ภายใน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เป็นประชาธิปไตยสมาชิกสามารถแสดงความ คิดเห็นได้ ดังนั้นตนเชื่อล้านเปอร์ เซ็นต์ว่าในพรรคไม่มีอะไรกระเพื่อมแน่นอน
ปชป.บี้ทิ้งเก้าอี้-"ธีระ"เจอหางเลข
นาย บุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปรับครม.ควรจะปล่อยให้นายกฯ เป็นผู้ตัดสินใจ และรัฐมนตรีทุกคนควรยอมรับการตัดสินใจของนายกฯ เพราะผู้เล่นคนไหนที่เล่นไม่ดีก็ควรเปลี่ยนตัวเพื่อให้ทีมเล่นดีมากขึ้น ส่วนตัวเห็นว่าคนที่ควรพิจารณาตัวเองได้แก่นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนัก นายกฯ เพราะไม่เห็นว่ามีผลงานอะไรเลย หรือว่าคุยกับประเทศจีนอยู่เพียงอย่างเดียว แม้นายวีระชัย จะมาจากกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรค แต่เวลาที่ผ่านมา 1 ปีน่าจะเพียงพอแล้วเพราะยังมีหลายคนที่เหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรี แต่ขณะนี้ทำได้เพียงซ้อมอยู่ข้างสนามอย่างเดียว อย่างนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก หรือนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. ส่วนรัฐมนตรีอีกคนที่ตนเห็นว่าผลงานเงียบมาก ได้แก่ นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นถือว่าทำงานพอใช้ได้
นายบุญยอด กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับกรณีพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ประกาศยกตำแหน่งรัฐมนตรีให้กับนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชาย เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ใช่สมบัติผลัดกันชม ที่สำคัญอยากถามว่าที่ผ่านมา พล.ต.สนั่นได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติบ้าง ถ้าบอกว่าเบื่อแล้ว เพราะเป็นรัฐมนตรีมาหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะคืนโควตารองนายกฯ มาให้กับประชาธิปัตย์ จะได้ส่งคนที่มีกำลังไปช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง ส่วนนายศิริ วัฒน์ ขอถามว่านอกจากอายุ 36 ปีแล้ว ที่ผ่านมาเคยทำอะไรให้กับใครบ้าง เพราะหากถามตนแม้แต่ชื่อก็ยังสะกดไม่ถูกเลย หากต้องการให้นายศิริวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีก็ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนไม่ใช่มายกให้กันง่ายๆ เช่นนั้น
เปิดข้อมูลส.ส.ขี้เกียจ
นาย บุญยอด เผยว่า วันที่ 9 ธ.ค. ตนจะเปิดเผยข้อมูลการลงมติร่างกฎหมายตลอดการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติตลอด 4 เดือน จำนวนกว่า 100 ครั้งที่ผ่านมา กำลังให้ทีมงานรวบรวมอยู่ ถ้าเปรียบเทียบกับการทำข้อสอบของนักเรียนที่มีคะแนนเต็ม 100 คะแนน หากได้คะแนนเกิน 50 คะแนนก็ถือว่าสอบผ่าน ข้อมูลที่พบน่าตกใจมากเพราะนอกจากส.ส.กว่าครึ่งจะสอบไม่ผ่านแล้ว ปรากฏว่ามีส.ส.จำนวน 8 คนจากทั้งหมด 473 คน ที่ไม่เคยลงมติร่างกฎหมายฉบับใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยพบว่าเป็นสมาชิกตระกูลเทียนทองถึง 3 คนด้วยกัน
นายบุญยอด กล่าวว่า ด้านส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติน้อยที่สุดได้แก่นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี เพียง 30 ครั้ง ส่วนคนในครม.ที่ลงมติมากที่สุดกลับเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ซึ่งร่วมลงมติเกือบ 70 ครั้ง ซึ่งถือว่าสอบผ่าน แตกต่างกับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่ลงคะแนนเพียง 30 กว่าครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ มีส.ส.กว่า 60 คน ที่มีคะแนนเต็ม เพราะร่วมลงมติทุกครั้ง ผลการรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ตนจะเปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้เพื่อ พิจารณาว่าส.ส.ที่ตนเองเลือกมาทำหน้าที่นั้นมีพฤติกรรมอย่างไร
ปชป.พบประชาชนภาคใต้
น.พ.บุ รณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงการทำงานของพรรคในช่วง 1 ปี ว่า พรรคได้ติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และในฐานะที่เป็นแกนนำรัฐบาลเห็นความสำคัญกับสัญญาประชาคมที่ให้ไว้ก่อนเข้า มาเป็นรัฐบาล จึงจะเดินหน้าจัดสมัชชาประชาชนต่อภายในเดือนธ.ค.ปี 52 และม.ค. ปี 53 โดยจะเริ่มที่จังหวัดพื้นที่ภาคใต้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการทำงานของพรรค และรับฟังปัญหาอื่นๆ ที่ประชาชนยังรู้สึกว่ารัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ไขต่อไป
น.พ.บุรณัชย์ กล่าวว่า รัฐบาลสามารถแก้วิกฤตเศรษฐกิจจนสำเร็จ ผ่านพ้นจุดต่ำสุดและสามารถกลับมาเป็นบวกได้ แต่ปัญหาความสมานฉันท์คงจะต้องแก้ไขต่อไป ยอมรับว่าเรื่องของความสมานฉันท์พรรคและรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขจนบรรลุได้ เพียงตามลำพัง หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและกลุ่มการเมืองที่ถือว่ามีความสำคัญใน การลดชนวนความชัดแย้งให้ลดลงได้ ในส่วนของมาตรการและนโยบายหลักถือว่านโยบายเฉพาะหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อลด ภาระของประชาชนและเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือนถือว่าบรรลุผลตามกรอบเวลาใน 6 เดือนแรก นโยบายระยะกลางมุ่งเน้นไปที่การหยุดการเลิกจ้างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤต การเลิกจ้างครั้งใหญ่ ถือว่ามาตรการชะลอการเลิกจ้างประสบผลสำเร็จ และสมควรดำเนินนโยบายอื่นต่อที่เป็นนโยบายระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงให้ แก่ประเทศชาติ ตามโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
เสนอทำ 3 เลิก 3 ทางสมานฉันท์
เมื่อ ถามว่า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่ามีส.ส.ในพรรคไม่ค่อยพอใจการทำงานของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ น.พ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การแสดงความเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลของคนในพรรคประชาธิปัตย์เป็นเรื่อง ธรรมดา ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ เพราะพรรคยึดหลักประชาธิปไตย แต่ไม่อยากให้การแสดงความเห็นของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปสร้างผลกระทบต่อการ ทำงานของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่บนความคาดหวังของประชาชน การจะปรับครม.ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ส่วนคือ 1.เสียงเรียกร้องประชาชน 2.การตัดสินใจของนายกฯ การหมุนเวียนให้บุคคลอื่นที่มีความสามารถเข้ามานั่งทำงานในครม.สามารถทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับการทำงานของนายกฯ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอน้อมรับกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นแสงสว่างนำทาง ถือเป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ หากพวกเราคนไทยจะช่วยกันทำให้เป็นปณิธานปีใหม่ โดยทำการบ้านถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการทำดีและแสดงออกโดยร่วมกันทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเมืองปกติสุขและมั่น คง พรรคประชาธิปัตย์ขอเชิญชวนทุกพรรคและทุกกลุ่มการเมืองร่วมกันกระทำ 3 สิ่ง คือ 1.ร่วมกันสร้างความสมานฉันท์และปฏิรูปการเมือง เพื่อนำการเมืองออกจากวิกฤตของปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปี 2.ร่วมกันนำการเมืองกลับสู่สภาและลดความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเอง และ 3.ร่วมกันทำประชาธิปไตยให้มั่นคง โดยให้ทุกฝ่ายยอมรับและพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ ต้องแตกแยก แม้มีความเห็นที่แตกต่างกันทางความคิด
ยังไม่สายแดงเลื่อนชุมนุม 10 ธ.ค.
น.พ.บุ รณัชย์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันขอเรียกร้องทุกพรรคและทุกกลุ่มการเมืองให้เลิก 3 อย่างคือ 1. เลิกพาดพิงทุกองค์กรและสถาบัน ที่อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง 2.เลิกสร้างความแตกแยกทุกวิถีทาง ไม่ว่าโดยการปลุกระดมมวลชนเพื่อให้คนไทยต้องเลือกข้าง หรือการใช้ข้อมูลหลักฐานที่เป็นเท็จ หรือดึงเอาเพื่อนบ้านมาเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ และ 3. ขอให้ทุกฝ่ายยุติการส่งสัญญาณความวุ่นวาย ความรุนแรงและไม่ว่าพรรคใดหรือสีใดขอให้ยุติการพูดถึงสงครามกลางเมือง หรือสงครามประชาชน พรรคมั่นใจว่าหากทุกฝ่ายช่วยกันทำ 3 สิ่ง และเลิก 3 อย่างนี้ ฝันร้ายในปีเก่าก็จะถูกทดแทนด้วยฝันดีที่จะเป็นจริงในปีใหม่ที่จะถึงนี้
น.พ.บุ รณัชย์ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ในวันที่ 10 ธ.ค. พรรคมองว่ายังไม่สายเกินไปที่กลุ่ม นปช.จะใช้โอกาสน้อมรับกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้วิจารณญาณและไตร่ตรอง เลื่อนการชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ออกไปก่อน และให้โอกาสประชาชนคนไทยใช้เวลาในช่วงนี้สร้างความสุข สร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในชาติกลับคืนมา
วอร์รูมปชป.วิตกจะวุ่นวาย
น.พ.บุ รณัชย์ กล่าวว่า คณะทำงานเพื่อประเมินและติดตามสถานการณ์ทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ (วอร์รูม) ได้ประเมินสถาน การณ์ ในขณะนี้ว่า ยังมีความวิตกต่อสัญญาณความวุ่นวาย โดยเฉพาะกรณีกลุ่มนายทหารส่วนน้อยที่เป็นแนวร่วมของพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุถึงการเตรียมการก่อความวุ่นวายโดยผ่านทางทหาร พรรคมั่นใจว่ากำลังพลหลักที่ทำงานปกป้องประเทศชาติไม่ว่าจะเป็นทหารพราน หรือ ตชด. ถือเป็นกำลังพลที่อยู่ด้านหน้าและมีความเสียสละที่อยู่บนความเสี่ยงเพื่อ บ้านเมืองมาตลอด จึงมั่นใจว่ากำลังพลเหล่านั้นไม่มีวันที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ มีความขัดแย้งทาง การเมือง เพราะภารกิจของกำลังพลมีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติและประโยชน์สุขของ ประชาชน ในประเทศเป็นสำคัญ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แต่ยอม รับว่าการพูดในลักษณะการดักทางของ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก อาจเป็นเหตุอำพรางเพื่อนำนายทหารนอกแถวบางคนมาสวมรอยโดยอ้างกำลังพลหลัก พรรคจึงขอเรียกร้องรัฐบาลและกองทัพช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนหากการ ชุมนุมนวันที่ 10 ธ.ค.นี้ยังเกิดขึ้นอยู่ว่าจะรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับ ประชาชนได้ ไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายเหมือนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เบรกม็อบงาน"5ธันวา"มีถึง 13 ธ.ค.
พ.อ.ธนา ธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันจะชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค. ว่า กลาโหมที่ดูแลในภาพรวมคิดว่าทุกคนคงให้ความสำคัญต่อการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ที่ สุด การจัดงานเฉลิมฉลองจะมีไปจนถึงวันที่ 13 ธ.ค. คิดว่าทุกคนคงได้รับฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว คงน้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกคนเกิดความผาสุกและนำพาความสงบสุขในอดีตกลับมาอีกครั้ง
โฆษกกระทรวง กลาโหม กล่าวว่า เพื่อให้พระองค์ท่านมีความสุขไปจนถึงปี 2554 ที่พระองค์จะทรงมีพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา จึงอยากให้ทุกคนหันมาให้ความรักความสามัคคีกัน พึ่งพาอาศัยกัน ความคิดเห็นที่แตกต่างสามารถเกิดขึ้นได้แต่อยากให้ทุกคนหันหน้ามาพูดคุยกัน เพราะทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกัน ของขวัญที่ดีที่สุดที่จะมอบให้แด่พระองค์ท่านคือ การทำให้ประเทศกลับสู่ความสงบเหมือนในอดีต
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เชื่อว่าการชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค. คงไม่มีเหตุวุ่นวายอะไร เพราะสถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย และยังไม่ได้รับข้อมูลด้านการข่าวว่าจะส่อให้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เรามีการติดตามสถานการณ์ข่าวอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจดีถึงพระราชพิธีที่เกิดขึ้น ประกอบกับผู้ชุมนุมทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวเป็นคนไทยทั้งหมด และทุกคนคงอยากให้พระองค์ท่านหายประชวรโดยเร็ว ดังนั้นทุกคนคงรู้ดีว่าควรทำอย่างไร และขณะนี้ทุกคนคงจะนำแนวทางพระราชดำรัสมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดูแลสร้างชาติบ้านเมืองให้กลับมาสงบเหมือนอดีต
เสธ.แดงกร่างขู่กลับ"อนุพงษ์"
พล.ต.ขัต ติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ไม่พอใจที่ออกมาระบุกองกำลังอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย จะออกมาร่วมชุม นุมกับกลุ่มเสื้อแดง ว่า ทหารพรานค่ายปักธงชัยแม้จะยุบหน่วยไปนานแล้ว แต่กองกำลังเหล่านั้นยังมีการรวมตัวกันเป็นการ์ด นปช.อยู่นานแล้ว ต่อจากนักรบพระเจ้าตาก นักรบโรนิน ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทหารพรานเหล่านี้เริ่มเข้ามา มีอาวุธยุทโธปกรณ์ ตนให้ระวังไม่ได้พามา แต่พล.อ. อนุพงษ์ นึกว่าตนมาป่วน เอาทหารพรานมาขู่ทหารหลัก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย เรียกตนไปเตือนว่าให้ระวังเรื่องนี้ให้ดี จึงออกมาให้สัมภาษณ์เตือนทหารหลักอย่าออกมา ให้เกียร์ว่างไว้
พล.ต.ขัต ติยะ กล่าวว่า ส่วนที่จะเอาวินัยทหารมาเล่นงานตนพูดผิดตรงไหน ถ้าจะปลดไม่มีกฎหมายไหนทำได้ แต่ถ้าพักราชการแสดงว่าเป็นการกลั่นแกล้งส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้นไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาผม การมาใช้อำนาจมิชอบแบบนี้ก็ขอให้อยู่แต่ในกองทัพบก อย่าออกมาแล้วกัน ไม่ได้ขู่นาย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ใช่นายตน วันนี้มีอดีตทหารพรานโทร.มาบอกว่าขณะนี้ทหารพราน กำลังเฮกัน เพราะกองทัพจะเอาเงินไปแจกที่ค่ายปักธงชัยในวันที่ 10 ธ.ค. อ้างเป็นการทำบุญให้มูลนิธิทหารพราน ไม่รู้ว่าพล.อ.อนุพงษ์ รู้เรื่องนี้หรือไม่ เรื่องนี้มีการประสานงานโดยนายทหารยศพ.อ.คนหนึ่ง เป็นอดีตผู้บังคับการหน่วยทหารพรานปักธงชัย และนายทหารยศร.อ. ที่เคยเป็นอดีตรองผบ.หน่วยทหารพรานอีกคนหนึ่ง
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วันที่ 8 ธ.ค. พล.อ.อนุพงษ์ จะเดินทางไปบริจาคเงินให้กับอดีตทหารพรานที่ค่ายปักธงชัย เพื่อเป็นค่าสวัสดิการช่วยเหลืออดีตทหารพรานที่ปลดประจำการไปตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งจะบริจาคให้ 3 ชมรม คือ ชมรมจ.นครราชสีมา อุบลราชธานี และชมรมรามอินทรา 34 ชมรมละ 10 ล้านบาท ภายหลังจากที่อดีตนายทหารพรานทราบข่าวดีใจมากที่จะได้รับเงินค่าสวัสดิการ เพราะพวกเขาไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐมากว่า 10 ปีแล้ว กลุ่มอดีตทหารพรานจึงฝากคำขอบคุณผ่านจากตนไปยังผบ.ทบ. สาเหตุที่ทางกองทัพมอบเงินให้กับทหารพรานช่วงนี้ อาจเกิดจากจากกระแสข่าวทหารพรานจะเข้ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวัน ที่ 10 ธ.ค. อาจต้องการสกัดกั้นไม่ให้อดีตทหารพรานเข้าในกรุงเทพ
ที่มา ข่าวศิวรักษ์ ข่าวกัมพูชา ข่าวการเมือง ข่าวต่างประเทศ จาก ข่าวสด
0 comments:
แสดงความคิดเห็น