โพสต์ทูเดย์ : กลายเป็นประเด็นใหญ่โต ชวนให้ตระหนกตกใจ กับตัวเลขความเสียหายของ 65 โครงการที่ถูกระงับกิจการชั่วคราว ในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด
ที่ ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมออกมาฟันธงความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นมีมากถึง 6 แสนล้านบาท หลังจากไประดมข้อมูลร่วมกับกระทรวงพลังงาน และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ทำให้ฝั่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยิ่งได้ใจ ออกมาโหมประโคมซ้ำ ปั้นตัวเลขให้น่ากลัวหนักเข้าไปอีก โดยระบุ 6 แสนล้านบาท แค่ตัวเลขเบื้องต้น ของจริงมากกว่านี้เยอะ!!!
เล่นเอานายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ฟังแล้วลมออกหู โต้กลับทันควัน อย่าคิด ใช้ตัวเลขมาขู่รัฐบาล ขู่ศาล ทำให้สถานการณ์น่ากลัว เพื่อหวังผลการเปลี่ยนแปลง
สำทับด้วยคำยืนยันจากรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ โต้เสียงดังฟังชัด ตัวเลข 6 แสนล้านบาท ที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นตัวเลขไม่จริง
ตัวเลขจริงน่าจะเสียหายไม่เกิน 1 แสนล้านบาท เพราะจากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าใน 65 โครงการ มี 42 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ประเมินค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนก่อสร้างแล้วเสร็จ ใช้เงินลงทุนรวม 8 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ขณะที่อีก 23 โครงการยังไม่ได้ลงมือก่อสร้าง จะบอกว่าเสียหายหนักได้อย่างไร
เรื่องนี้จับโกหกกันได้ไม่ยาก ถ้าย้อนกลับไปในช่วงแรกที่คำสั่งศาลสั่งหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวทั้ง 76 โครงการ
ครั้งนั้นเจ้าของโครงการออกมาโวยวายเสียงดัง อ้างคำสั่งศาลทำธุรกิจเสียหาย 2.4 แสนล้านบาท ก่อนจะปรับเพิ่มเป็น 3.5 แสนล้านบาท เพื่อเน้นย้ำความเดือดร้อนให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิจารณาให้ 11 โครงการดำเนินการต่อได้ เหลือ 65 โครงการที่ยังติดบ่วง ห้ามเดินเครื่อง
มาครั้งนี้มีการเพิ่มตัวเลขความเสียหายพรวดเดียวเกือบเท่าตัว เป็น 6 แสนล้านบาท โดยไม่แจ้งรายละเอียด เสียหายตรงไหน บริษัทอะไร โครงการอะไร จ้างงานเท่าไหร่ ลงทุนไปแล้วเท่าไหร่ เปิดมาให้เห็นแต่ตัวเลขที่ชวนให้ผวา ซึ่งก็ยากที่จะทำใจเชื่อได้
ตอนแรกมี 76 โครงการ ยังเสียหายแค่ 3.5 แสนล้านบาท ครั้นพอโครงการเหลือน้อยลง ดันเสียหายเพิ่มเกือบเท่าตัว
ดูอาการแล้วก็ค่อนข้างชัดว่า หวังผล 2 เด้ง คือ ต้องการกดดันรัฐบาล และกดดันศาล
นายกฯ ก็เลยเดาทางได้ง่ายว่า กำลังถูกลองของให้เร่งเครื่องทำงาน เพราะผ่านไปหลายเดือน ทุกอย่างยังย่ำอยู่กับที่
แม้จะดูดีที่นายกฯ รู้ทัน โต้ได้แรงสะใจกองเชียร์ แต่ได้เห็นแอ็กชันแต่ละฝั่งแล้วชวนให้สะท้อนใจ
ฝ่ายหนึ่งก็โดนเอกชนต้มตัวเลขจนเปื่อย กล้าออกมาเป็นปากเป็นเสียงแทนผ่านสื่อ ซึ่งก็อาจเป็นด้วยเชื่อสนิทใจ หรือเต็มใจให้ต้ม ก็สุดแล้วแต่ผลประโยชน์เข้าใคร ก็คงพอเดาทางกันออก
อีกฝ่ายก็ทำงานโชว์ แยกเก็บข้อมูลเอง ไม่ประสานหน้าไหน
ข้อมูลที่ได้จึงไปกันคนละทิศคนละทาง
แสดงให้เห็นชัดว่า การทำงานของรัฐบาลในเวลานี้ ยังขาดเอกภาพ ทั้งที่ปัญหา มาบตาพุดเป็นเรื่องใหญ่ และมีผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน
ยิ่งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่จัดตั้งขึ้นมา จนถึงปัจจุบันความคืบหน้าในการประชุมแต่ละรอบแทบจับต้องไม่ได้เลย มีความคืบหน้าแค่นัดเวลาประชุมวันถัดไป
เหมือนกับว่าตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาภาพความมุ่งมั่น ของรัฐบาลต่อการแก้ปัญหา แต่พอเอาเข้าจริง ยิ่งทำยิ่งยื้อ เสียเวลาเปล่า
แม้วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้สนับสนุนข้อมูลในทุกๆ ด้านต่อภาคเอกชนจำนวน 19 โครงการ เพื่อจัดทำคำชี้แจงศาล ในฐานะโครงการที่อาจเข้าข่ายขอยกเว้นการคุ้มครองได้ ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่จับต้องได้มากที่สุดในเวลานี้
แต่การมุ่งสู่หนทางคลี่คลายปัญหาทั้งระบบ หากหน่วยงานรัฐยังเดินแยกทางกันไปอยู่อย่างนี้ ขาดเอกภาพในการทำงาน โดยมีเอกชนเป็นตัวป่วน ขาดความจริงใจในการให้ข้อมูล เพราะใช้ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไร้สำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม
ฝ่ายหนึ่งเชื่อเอกชน ฝ่ายหนึ่งค้านเอกชน ปีหน้าอีกทั้งปี ก็น่าหนักใจว่า ปัญหามาบตาพุดจะไปลงเอยที่จุดไหน
ที่มา ข่าวปัญหามาบตาพุต ข่าวการลงทุน ข่าวสิ่งแวดล้อม จาก โพสต์ทูเดย์
ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ
23 ธันวาคม 2552
มุกจนตรอกปั่นตัวเลขมาบตาพุดลวง...แย่เกินจริง
Author: Admin.
| Posted at: 09:45 |
Filed Under:
ข่าวการเงิน,
ข่าวสิ่งแวดล้อม,
โพสต์ทูเดย์,
มาบตาพุด
|

สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 comments:
แสดงความคิดเห็น