ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ

04 ธันวาคม 2552

กรุงเทพธุรกิจ : ระงับมาบตาพุดฉุดกำไรบจ.มีเอี่ยวหด 30%

จากการรวบรวมข้อมูลการ วิเคราะห์ของโบรกเกอร์ กรณีของผลกระทบจากการที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้แก้ไขคำสั่งคุ้มครองชั่ว คราวให้ระงับโครงการลงทุน 65 โครงการในมาบตาพุดไว้ ก่อน โดยให้ 11 โครงการที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เดินหน้าต่อไปได้นั้บ ปรากฎว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า บริษัทปตท.เคมิคอล (PTTCH) จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมากสุด

โดยบทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ประเมินว่าโครงการหลักในเครือปตท. (PTT) ที่ได้รับผลกระทบต้องชะลอออกไปตามคำสั่งของศาลปกครองกลางได้แก่ โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ(GSP) 6ของ ปตท. โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก(HDPE) 5 หมื่นตันต่อปีของบริษัท ปตท.เคมิคอล และโครงการขยายกำลังการผลิต HDPE อีก 2.5 แสนตันต่อปีของบริษัทบางกอกโพลีเอทิลีน ซึ่งบริษัทปตท.เคมิคอลถือหุ้น 100% โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 ระยะที่ 3 ของบริษัทปตท.อะโรเมติกส์

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ระบุว่า หากกรณีที่โครงการถูกเลื่อนออกไป 6 เดือน จะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นแต่ละบริษัทดังนี้ บริษัทปตท.จะมีผลกระทบต่อประมาณการกำไรปีหน้า 4.6% และกระทบกับมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น 12 บาทราคาเป้าหมายจะเหลือ 285 บาท

หุ้นปตท.เคมิคอลแนะนำให้ขาย การเลื่อนโครงการจะมีผลกระทบต่อประมาณการกำไร 14.8% มีผลกระทบกับราคาหุ้น 12 บาท บริษัทปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) กระทบกำไร4.4% มูลค่าพื้นฐานของหุ้นลดลง 1.50 บาท ขณะที่หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) และไทยพลาสติกเคมีภัณฑ์ (TPC) ไม่ได้รับผลกระทบกับกำไร

สำหรับผลกระทบทางตรง และทางอ้อมของแต่ละบริษัทมีดังนี้ บริษัทปตท.มีผลกระทบทางตรง จากโครงการแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 มูลค่าการลงทุน 780 ล้านดอลลาร์ กำลังการผลิต 1.84 ล้านตันต่อปี กำหนดเปิดโครงการไตรมาส1/53 และโครงการผลิต BPA ซึ่งเป็นโครงการผลิตสารฟีนอลและอะซีโทนของบริษัทพีทีที ฟีนอล อาจล่าช้าไป 6-12เดือน

ผลกระทบทางอ้อม ทำให้ส่วนแบ่งผลกำไรของบริษัทลูกในธุรกิจโรงกลั่น (PTTAR)และปิโตรเคมี(PTTCH)ที่จะลดลงจกาการเลื่อนเปิดดำเนินการผลิตเชิง พาณิชย์ของโครงการถูกระงับไว้ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ได้รับจากการควบรวมกิจการบริษัทในเครือก็ชะลอออกไป

เมื่อประเมินเบื้องต้นกรณีที่ล่าช้าไป 6 เดือนจะมีผลกระทบต่อกำไรปีหน้าประมาณ 4.6% และทุกๆ1 เดือนที่ล่าช้าจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทปตท.0.77% หรือ 2 บาทต่อหุ้นส่วนคำแนะนำการลงทุน ราคาเป้าหมายถ้าเลื่อน 6เดือน ราคาลดลง 12 บาทต่อหุ้นแต่ถ้าเลื่อน 12เดือนจะลดลง24บาทต่อหุ้น

บริษัทปตท.เคมิคอล ผลกระทบทาตรง โครงการขยายกำลังการผลิตHDPE 5 หมื่นตันต่อปี โครงการขยายกำลังการผลิตโพลีเอทิลีน และโครการขยายกำลังการผลิตHDPEอีก 2.5 แสนตันต่อปีของBPEอาจล่าช้า6-12เดือน ส่วนผลกระทบทางอ้อม โครงการPTTPEที่มีกำลังกาผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกHDPE3แสนตันต่อปี LLDPEอีก 4 แสนตันต่อปี ที่เดิมเริ่มผลิตในไตรมาส4/52 และLDPEอีก 3 แสนตันต่อปีที่เดิมจะเริ่มผลิตในไตรมาส2/53ก็จะมีปัญหาในเรื่องของวัตถุดิบ ก๊าซไม่เพียงพอที่จะดำเนินการผลิตได้เนื่องจากโครงการ PTTPEจะต้องรับก๊าซมาจากโรงแยกก๊าซ6 ซึ่งหากล่าช้าออกไป6-12 เดือนจะทำให้มีปัญหาค่อนข้างมากและอาจจะทบถึงโอกาการควบรวมกิจการ

คำแนะนำผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทปตท.เคมิคอล มากที่สุด ทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งปัจจัยกำหนดผลกำไรของบริษัททั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของโอเลฟินส์ และHDPEก็เริ่มชะลดตัวลงตามกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาในตลาดรวมถึงราคาหุ้น ที่ซื้อขายค่อนข้างสูงที่พีอี 18.7เท่า และจากผลกระทบความล่าช้าของโครงการ6-12 เดือนจะส่งผลกระทบให้ราคาเป้าหมายของบริษัทลดลง 11-22 บาท จึงแนะนำให้ขายหุ้น

ขณะที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ได้รับผลกระทบในส่วนโครงการปิโตรเคมี ใหม่ ที่อยู่ใน 65 โครงการถูกระงับ ซึ่งมีการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการปิโตรเคมีขั้นต้น (Naphtha Cracker) และขั้นปลายที่ต่อเนื่อง ซึ่งโครงการดังกล่าว ส่วนใหญ่มีการก่อสร้างที่ใกล้จะแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มทยอยเปิดดำเนินการในช่วงปลายปี 2552 - กลางปี 2554

สำหรับประมาณการกำไรรวมในปี 2553 เท่ากับ 23,958 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้เท่ากับ 1.4% โดยประเมินกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีไว้เพียง 8,123 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐาน HDPE - Naphtha ปรับลดลงเหลือ 500 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจาก 583 ดอลลาร์ต่อตัน ในปีนี้ และ ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 28% จากกำลังการผลิตใหม่ ซึ่งเท่ากับโครงการปิโตรฯแห่งที่สองมีความล่าช้าประมาณ 6 เดือน เทียบกับประมาณการกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีในปีนี้เท่ากับ 12,191 ล้านบาท กรณีเลวร้ายสุดถ้าไม่รวมโครงการปิโตรเคมีแห่งที่สอง หรือ มีความล่าช้า 12 เดือน จะทำให้กำไรธุรกิจปิโตรเคมีฯในแบบจำลองของเราปรับลดลงประมาณ 2,000 ล้านบาท เหลือ 6,123 ล้านบาท หรือ ลดลงคิดเป็น 8.3% ของประมาณการกำไรทั้งปีในปี 2553

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ประเมินจะยังถูกกดดันจากสองประเด็นด้านลบหลัก คือ แนวโน้มขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี และ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ระงับโครงการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไว้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น รวมแล้วจึงคงคำแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 240 บาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส รายงานว่า คำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดวานนี้ที่ให้ระงับ 65 โครงการและยกเว้น 11 โครงการ จะยังผลกระทบทางลบต่อเนื่องใน เพราะความเสี่ยงที่ยังค่อนข้างเปิด คือแม้ 11 โครงการจะสามารถดำเนินต่อไป แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าหน่วยงานรัฐจะให้ไลเซนส์ในการเปิดโรงงานหรือไม่ถ้า คดีมาบตาพุดยังไม่จบ

อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆ ไม่ได้ถูกยกเลิกแต่เป็นการเลื่อน ประเมินในแง่เลวร้ายสุดว่าถ้าต้องเลื่อนไป 1ปีจะกระทบกำไรบริษัทที่เกี่ยวข้อง 20%- 30% PTTCH ได้รับผลกระทบหนักสุด กำไรลด 27% ราคาเป้าหมายเหลือ 72 บาทจากเดิม 95บาท ขณะที่ราคาเป้าหมายของ PTTจะลดลงเป็น 265 บาท PTTAR เหลือ 22 บาท และ SCC เหลือ 209 บาทและยังได้รับผลจากการถือหุ้น 20% ใน PTTCH

ส่วนแบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อในโครงการมาบตาพุดมากสุดคือ KTB ขณะที่ KBANK, SCB, BBL มีน้อย ส่วน BAY ไม่มี

บทวิเคราะห์บล.เอเชียพลัสระบุว่า ในกรณีที่เลวร้าย หากโครงการต่างๆต้องชะลอการดำเนินงานออกไป 1 ปี จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ และมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นปี 2553 ราว 10% โดย PTTCH จะกระทบหนักสุด อย่างไรก็ตามผลการตัดสินให้ระงับโครงการในนิคมฯ มาบตาพุด กระทบลูกโซ่ต่อกลุ่มธนาคาร และนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากโครงการลงทุนที่ถูกระงับในครั้งนี้มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท จึงคาดว่าจะผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง กล่าวคือมิใช่กระทบเฉพาะผู้ประกอบการโดยตรงเท่านั้น แต่กระทบต่อผู้ที่เป็นเจ้าหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงเจ้าหนี้การค้าที่ปล่อยเงินกู้ในการซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ในการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณะของรัฐบาล และจะกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในอนาคต

ในที่สุดจะกระทบต่อนิคมอุตสาหกรรม และการจ้างงานในประเทศไทย ดังนั้น ภาครัฐน่าจะใช้อุปสรรคในครั้งนี้ เป็นโอกาสในการเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการศึกษาแนวทางในการออกกฏหมายดูแลสุขภาพชุมชน (HIA) เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการศึกษาเฉพาะสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว (EIA) เพื่อรองรับโครงการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ วิเคราะห์กลุ่ม ธ.พ.ของบล.เอเซียพลัสได้ทยอยสอบถามผลกระทบดังกล่าวจาก ธ.พ. ขนาดใหญ่ ได้รับการยืนยันจาก KBANK ว่าผลกระทบไม่มีนัยสำคัญ โดย KBANK ได้เคยสำรวจ และประเมินผลกระทบมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่คาดว่า SCB ระบุว่าเป็นเจ้าหนี้หลักของ PTT และกลุ่ม SCG ผลกระทบจึงน่าจะอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพราะทั้ง 2 บริษัทมีกระแสเงินสดสูงถึงปีละ 1 แสนล้านบาท และ 4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์อื่นเช่น BBL, BAY, TMB, SCIB, KTB อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบ หากได้ข้อสรุปจะนำเสนอเป็นรายงานอีกครั้ง

บทวิเคราะห์บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ระบุว่าหลังจากศาลฯพิพากษาให้ 11 โครงการเดินหน้าต่อ และอีก 65 โครงการถูกระงับต่อไป ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ของ PTT, PTTCH, SCC ยังถูกระงับ แต่ของ PTTAR โครงการส่วนใหญ่เดินหน้าต่อได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะยังมีผลกระทบกับรายได้และกำไรสุทธิในปี 53 ของบริษัทที่ต้องเลื่อนเปิดโครงการ, ปัญหาหนี้สินโครงการกับสถาบันการเงิน และปัญหากับผู้รับเหมาของโครงการทั้ง 65 แห่ง ในการประเมินผลกระทบต่อกำไรสุทธิปี 53 หากโครงการในมาบตาพุดเลื่อน ออกไป 6-9 เดือน พบว่า PTTAR ได้รับผลกระทบน้อยมาก, PTTCH กระทบมากที่สุด โดยกำไรสุทธิลดลง 18-26% รองลงมาเป็น SCCลดลง 9-14% ส่วน PTT ได้รับผลกระทบปานกลาง ลดลง 7-10%

ที่มา ข่าวมาบตาพุด ข่าวปัญหาสิ่งแวดล้วม ข่าวการลงทุน จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

ASTV ผู้จัดการ News

กรุงเทพธุรกิจ - ข่าวหน้าแรก

เกาะติดสื่อ ตามข่าวร้อน Copyright © 2009 WoodMag is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template