ข่าวเด่น ข่าวร้อนวันนี้ : กรุงเทพธุรกิจ

09 พฤศจิกายน 2552

ไทยโพสต์ : แม้วลั่นมาเขมร! 12พ.ย.ตามคำเชิญฮุนเซน

"ฮุน เซน" หยามไทยซ้ำสอง เชิญ "ทักษิณ" ให้ความรู้มือเศรษฐกิจกัมพูชากว่า 300 คน "แม้ว" ประกาศกลางทุ่งศรีเมือง ไปแน่ไม่เบี้ยว อ้างเพื่อประโยชน์ทั้งคนไทย-กัมพูชา ลั่นจบ รร.นายร้อย เป็นอดีตนายกฯ ไม่ทรยศชาติแน่ "อัยการ" รับล่าหัวสะดุด ไม่มีที่อยู่แน่ชัด "มาร์ค" รอดูท่าที ซัด "จิ๋ว" ต้นตอปัญหา ปลุกคนไทยสามัคคีโชว์พลัง ชี้หากย้อนกลับไปเหมือน 2 สัปดาห์ก่อนเรื่องก็จบ "นพดล" ป้องนาย ยันเอ็มโอยูเกิดยุค ปชป. "กมม." เล็งชงยุบพรรคเพื่อไทย ภัยความมั่นคงประเทศ โพลล์ซัดหน้าเหลี่ยมทำร้ายชาติ

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชายังเป็นประเด็นร้อนแรงต่อเนื่อง ภายหลังจากสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี ในคดีการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจส่วนตัวและรัฐบาล

ล่าสุด นายกฯ ฮุน เซน ของกัมพูชา ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้เดินทางกลับถึงกัมพูชาในวันอาทิตย์ และเปิดแถลงข่าวที่สนามบินนานาชาติพนมเปญ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจะเดินทางเยือนกัมพูชาวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาเป็นครั้งแรก ด้วยการบรรยายสรุปต่อบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจชาวกัมพูชามากกว่า 300 คน ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง

"กรุณาปล่อยให้คุณทักษิณมาช่วยแบ่งเบาภาระของผมในการกระตุ้นเศรษฐกิจของกัมพูชา" นายกฯ ฮุน เซน ร้องขอต่อรัฐบาลไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า เห็นข่าวแล้ว ต้องรอดูท่าทีว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปกัมพูชาตามที่สมเด็จฮุน เซน แถลงจริงหรือไม่ หากไปจริง เราต้องร้องขอให้มีการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทย ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่จะให้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่กัมพูชาต้องพิจารณา

นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า หากมีการแจ้งเรื่องให้ทำหนังสือขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน อัยการก็จะเร่งดำเนินการให้ทันที และที่ผ่านมาเราก็ทำหนังสือส่งไปยังประเทศต่างๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอมาเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับกรณีกัมพูชานั้น ตำรวจและกระทรวงการต่างประเทศยังไม่ได้ทำเรื่องร้องขอมาแต่อย่างใด อัยการจึงยังดำเนินการอะไรไม่ได้ตอนนี้

นายศิริศักดิ์กล่าวต่อว่า คำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น อัยการต้องส่งกลับไปกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้กระทรวงส่งไปยังสถานทูตประเทศนั้นๆ แต่ต้องทราบที่อยู่แบบชัดเจนถึงดำเนินการได้ แต่กรณีนี้ ถ้ามาแบบประเดี๋ยวประด๋าวก็อาจทำให้ทำไม่ทัน ดังนั้นมันต้องมีเวลาให้ทราบที่อยู่ชัดๆ ซักช่วงหนึ่ง ก็สามารถทำได้ตามปกติ

"ครั้งนี้มันไม่ปกติ ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำอะไรได้บ้าง และยิ่งประเทศนั้นบอกว่าไม่ยอมกักตัวไว้ให้เรา เราจะไปทำอะไรเขาได้ ถ้าเป็นไปตามปกติคือ ประเทศนั้นๆ จะให้ความร่วมมือเรา แต่หนนี้เขาบอกว่าจะไม่ทำให้เราซะอย่าง มันก็เป็นต้นเหตุของการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ต้องสะดุด เพราะติดอยู่ตรงที่เขาไม่ยอมกักตัวไว้ให้เรา เจอแบบนี้ยอมรับว่าหนักใจ" อธิบดีอัยการต่างประเทศกล่าว

อัยการรับสะดุดล่าแม้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า อัยการยอมรับว่างานนี้สะดุดแน่นอน เพราะกัมพูชาไม่ยอมส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาให้ นายศิริศักดิ์กล่าวว่า ใช่ เพราะวิถีทางการทูตไม่ปกติ ไม่รู้จะดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอาศัยช่องโหว่ตรงนี้เป็นเครื่องมือในการไม่ให้ถูกส่งตัวกลับมา มันเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง แต่เราก็ไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ประเทศกัมพูชานานแค่ไหน

"ถ้าคุณทักษิณจะอยู่กัมพูชาถาวร มันก็ลำบากนิดหนึ่ง เพราะทางนั้นเขาไม่ยอมร่วมมือกับเรา แถมยังพร้อมที่จะยอมให้ถูกตัดสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย แม้เราทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ แต่เอาเป็นว่า หากพบ พ.ต.ท.ทักษิณไปปรากฏตัวที่ไหน แล้วทราบที่อยู่ชัดเจน เราจะดำเนินการทำหนังสือขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปทันที ทั้งนี้ อยากบอกคุณทักษิณว่า อะไรที่เป็นเรื่องทางการเมือง ก็ขออย่าเอากระบวนการยุติธรรมไปเป็นเครื่องมือ และอย่าทำให้กระบวนการยุติธรรมที่เป็นเรื่องนอกเหนือทางการเมืองต้องได้รับผลกระทบวุ่นวายไปด้วย" นายศิริศักดิ์กล่าว

ในขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงต่างประเทศจะรอดูอัยการว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากส่งคำร้องมายังกระทรวงต่างประเทศ เราก็พร้อมดำเนินการตาม โดยกรณีนี้มีการแจ้งที่อยู่ที่ชัดเจน ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน คือประสานไปยังกัมพูชาขอให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเรื่องนี้คงไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ทั้งนี้ก็เป็นสิทธิของกัมพูชาว่าจะส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาหรือไม่ เพราะรัฐบาลไทยคงคงไม่สามารถบังคับอะไรได้

ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. ยังไม่ได้บอกว่าจะเดินทางไปกัมพูชาแต่อย่างใด

ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า ขออภัยสมาชิกที่เอสเอ็มเอสอันเดิมถูกบล็อกข้อความ โดยเตรียมจะปรับเทคโนโลยีวิธีใหม่ซึ่งดีกว่าเดิม คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะสามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังทวิตข้อความอีกว่า ท่านคงสงสัยว่าทำไมผมไม่พูดอะไรเรื่องกัมพูชา เอาเป็นว่าปล่อยรัฐบาลกับกระทรวงต่างประเทศบ้าให้สุดๆ ไปเลย แล้วผมจะพูดให้ฟังในรายการวิทยุอังคารนี้

ในช่วงค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้าไปในงานชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง ซึ่งจัดที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี ว่ายืนยันจะเดินทางเข้าไปกัมพูชาตามคำเชิญของสมเด็จฮุน เซน ในวันที่ 12 พ.ย. เพื่อไปบรรยายให้สมเด็จฮุน เซน และรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และผู้ใหญ่ของกัมพูชา เพื่อให้เข้าใจว่าสภาพเศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นอย่างไร และกัมพูชาจะต้องทำอย่างไรก็จะไปบรรยายให้ฟัง ซึ่งการไปบรรยายครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วยไม่ใช่แค่กัมพูชา

"ไม่มีคนที่ผ่านโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจคนไหน และเป็นอดีตนายกฯ มาหลายปี ไม่รักชาติ ไม่รักบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แต่ที่ไปเพราะประเทศชาติได้ประโยชน์ พี่น้องเสื้อแดงครับ รอผมอีกนิด ผมกำลังจะกลับไปแล้ว อีกนิดเดียวจริงๆ วันนี้อย่ามาผูกขาดความรักชาติไว้คนเดียว รัฐบาลชุดนี้ดีแต่ทำให้พระเอกเป็นผู้ร้าย ทำให้ผู้ร้ายเป็นพระเอก เอาต่างประเทศมาเล่นงานผมเพราะผมอยู่ต่างประเทศ ถามว่ารัฐบาลทำอะไรบ้าง ดีแต่ทาสีเพื่อไม่ให้เห็นว่าปลวกขึ้นแล้ว" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

และในการโฟนอินดังกล่าว นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเสื้อแดงอุดรธานี ได้ถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า วันนี้เอแบคโพลล์บอกว่าคะแนนนิยมอภิสิทธิ์พุ่งขึ้น 80% หลังเกิดปัญหากับกัมพูชา แต่คะแนน พ.ต.ท.ทักษิณลดเหลือ 12% พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ถามว่าโพลล์สำนักไหนใครไปทำ ถ้าได้ 80% ก็ยุบสภาเสียทีสิ ถ้าแบบนี้ประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งได้ แต่จะยุบไหม ยุบได้เลย จะได้เลือกตั้งกันเสียที ประชาชนได้หายอึดอัด

ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ได้ใช้เวลาส่วนมากในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ครั้งที่ 43 กล่าวถึงปัญหาความสัมพันธ์ของไทย-กัมพูชาว่า ความสัมพันธ์โดยรวมเป็นไปด้วยดี และมีการตกลงทำความร่วมมือกันหลายเรื่อง แต่ก็มีปัญหาที่ยังกระทบกระทั่งกันอยู่ คือกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งตลอดเวลาที่เข้ามาทำหน้าก็ได้ยึดหลักการดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้มีความราบรื่นในเรื่องการติดต่อระหว่างประชาชนของสองประเทศแล้ว ก็จะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทั้งบริเวณชายแดนไปจนถึงการมีความร่วมมือกันในภาพรวมด้วย

นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ได้พบปะกับสมเด็จฮุน เซน หลายต่อหลายโอกาส โดยเฉพาะก่อนประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งการพบปะทุกครั้งก็ได้พูดถึงปัญหาที่ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ในเรื่องปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของประเทศที่มีพรมแดนติดกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือเราพูดกันว่า ปัญหาใดๆ ก็ตามไม่ควรจะถูกหยิบขึ้นมาและบดบังภาพรวมของความสัมพันธ์ เพราะความสัมพันธ์ที่เราต้องมีการดำเนินการต่อไปนั้นมีหลายเรื่อง ทั้งการช่วยเหลือ พื้นที่ทับซ้อน และทรัพยากรธรรมชาติ

"ท่านฮุน เซน พูดกับผมมาตลอดว่า ควรมองไปที่อนาคต ไม่ควรยึดติดกับอดีต และพร้อมเดินหน้าให้ความสัมพันธ์ต่างๆ เป็นไปด้วยความราบรื่น และในการพูดคุยกัน ส่วนใหญ่นายกฯ ฮุน เซน เป็นฝ่ายหยิบยกกรณีของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพูดกับผม ผมไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นพูดก่อน นายกฯ ฮุน เซน จะพูดเสมอว่า แม้ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นเพื่อน แต่ว่าจะไม่ให้ความเป็นเพื่อนมาอยู่เหนือในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นคำกล่าวของนายกฯ ฮุน เซน ที่พูดกับผมมาโดยตลอด" นายอภิสิทธิ์กล่าว

มาร์คซัดจิ๋วต้นตอปัญหา

นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นล่าสุด เพิ่งมาเกิดขึ้นก่อนหน้าประชุมสุดยอดอาเซียน หลังจากที่มีการเดินทางไปพบปะกับท่านนายกฯ ฮุน เซน ของอดีตนายกรัฐมนตรีของเราท่านหนึ่ง และกลับมามีการออกข่าวเรื่องกัมพูชาจะตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา และไม่ส่งตัวมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งคือจุดเริ่มต้นของปัญหา เพราะตลอด 10 เดือน และทุกครั้งที่ได้พบปะกันไม่ได้มีปัญหากัน และยังเพิ่มพูนความตกลงความร่วมมือกันด้วยซ้ำในเรื่องของการขนถ่ายสินค้าผ่านแดน

นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก นายกฯ ฮุน เซน เดินทางกลับจากประชุมสุดยอดอาเซียน รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้งอดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษา ทั้งที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาล และยังได้ออกแถลงการณ์พาดพิงว่ากรณีถ้าหากว่ามีการขอตัวผ่านสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน กัมพูชาจะไม่ดำเนินการเรื่องนี้ และได้วิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย และที่สำคัญคือ กระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งตั้งคำถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาลในเรื่องความเที่ยงธรรม

"ผมถือว่าเรื่องนี้ประเทศไทยและคนไทยยอมรับไม่ได้ครับ ทั้งหมดในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องปัญหาความขัดแย้งการเมืองภายในประเทศของเรา แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนนั้นต้องยืนยันถึงความถูกต้อง และศักดิ์ศรีของสถาบันหลักของเรา ก็คือกระบวนการยุติธรรม" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เชื่อว่ากัมพูชาออกแถลงการณ์ เพราะได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขึ้นในช่วงพรรคการเมืองที่สนับสนุนท่านอดีตนายกฯ นั้นเป็นรัฐบาลเอง และการตัดสินของศาลในหลายต่อหลายคดี ศาลก็มีการพิพากษาลงโทษไปตามตัวบทกฎหมาย ตามข้อเท็จจริง ซึ่งทุกฝ่ายก็ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แม้แต่ตัวอดีตนายกฯ ทักษิณเองก็พึ่งพากระบวนการยุติธรรมอยู่ตลอดเวลา ด้วยการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นว่าทำให้ท่านเสียหาย

"การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันที่เป็นกระบวนการยุติธรรม เป็นสถาบันหลักของเรา ผมคิดว่าเราก็คงยอมรับไม่ได้ และผมได้เตือนไปตั้งแต่ช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนว่า ถ้าหากว่าฝ่ายกัมพูชาหรือนายกฯ ฮุน เซน นั้นไม่ทบทวนให้ดี มันจะกระทบกับความสัมพันธ์ ไม่มีประเทศไหนที่เขายอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะเช่นนี้ เพราะฉะนั้น นั่นคือปัญหาประการที่ 1" นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาประการที่ 2 คือ การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของไทยในการเจรจาเปรียบเทียบว่าถ้าพี่น้องประชาชนมีการเจรจาอยู่กับใครก็ตาม ในเรื่องต้องแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งก็ต้องมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง ปรากฏว่าคนที่เคยเป็นหัวหน้าในการเจรจาล่วงรู้ข้อมูลต่างๆ วันดีคืนดีไม่ได้อยู่ทางนี้แล้วกลับไปเป็นที่ปรึกษาของอีกฝ่าย กรอบการเจรจาตรงนี้เป็นใครก็ต้องทบทวน เพราะว่ามีผลประโยชน์ขัดกันอย่างชัดเจน และนั่นคือเหตุผลที่ได้เคยเตือนนายกฯ ฮุน เซน ว่าต้องคิดให้ดีว่า ถ้าหากว่าจะเอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเรื่องอื่นใดก็ตามเข้ามา ก็เป็นปัญหาความร่วมมือต่างๆ ที่เป็นความสัมพันธ์ของระหว่างสองประเทศ

"ยิ่งไม่นับว่าอดีตนายกฯ มีสถานะของการเป็นนักธุรกิจ และมีข่าวหรือมีการพูดกันมาโดยตลอดว่าอาจจะเข้าไปมีประโยชน์โดยตรงที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรในทะเลด้วย" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำสิ่งแรกคือ ดำเนินการตามขั้นตอนทางการทูต แสดงออกและบ่งบอกถึงความไม่พอใจ และต้องการลดระดับความสัมพันธ์หากว่าทัศนคติยังเป็นเช่นนี้ ขั้นที่ 2 คือการพูดถึงข้อตกลงต่างๆ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการต่อได้ในแง่การเดินหน้าในกรอบการเจรจา ซึ่งการดำเนินการได้ทำด้วยความสุขุม รอบคอบ และระมัดระวัง โดยให้นโยบายว่าไม่ต้องการให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น ระหว่างพี่น้องประชาชนด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณชายแดน รวมทั้งจะไม่ให้กระทบกระเทือนต่อประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่ร่วมงานกับเรา

ปลุกคนไทยสามัคคีโชว์พลัง

นายกฯ กล่าวว่า อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยแสดงออกถึงความสมัครสมานสามัคคี และร่วมกันแสดงจุดยืนตรงนี้ว่าเราต้องการเป็นและมีเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของการแสดงออกถึงความจริงใจและความเคารพซึ่งกันและกัน พี่น้องคนไทยทุกคนคงไม่ต้องการเห็นประเทศไทยเสียเปรียบ ไม่ต้องการที่จะเห็นประเทศไทยนั้นถูกลดทอนความน่าเชื่อถือโดยประเทศใดก็ตาม เพราะฉะนั้นดีที่สุดในการที่จะทำสิ่งนี้ คือการสมัครสมานสามัคคีและร่วมกันอย่างมีเอกภาพ

"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ฝ่ายค้าน เรื่องนี้ควรเป็นเรื่องของการที่เราช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนคนไทยในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งด้วยกันทุกคน" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการยกเลิกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจไม่สามารถดำเนินการได้เพราะต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรว่า เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศต้องไปดูข้อกฎหมายทั้งหมด โดยกรมสนธิสัญญาฯ ส่วนในเชิงบริหาร คือ จะไม่มีการเร่งรัดการเจรจา และคงต้องหยุดก่อน เพราะมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่เราต้องทบทวน

นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ข้อกฎหมายและข้อมูลทั้งหมดจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 10 พ.ย.นี้ เพื่อดูว่ามีวิธีการที่จะเดินต่อเป็นอย่างไร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราไม่ให้เสียเปรียบ ส่วนที่กัมพูชาอ้างว่าเราไม่มีสิทธิ์ยกเลิกข้อตกลงนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถบังคับให้เราเจรจาได้อยู่แล้ว ซึ่งไม่มีบานปลาย เพราะเรามีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ และเชิญชวนทุกคนว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่มาแตกแยก ต้องสมัครสมานสามัคคีกัน เรามีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย ของประเทศไทย

เมื่อถามว่า เลขาธิการอาเซียนห่วงเรียกร้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเข้ามามีบทบาท นายอภิสิทธิ์ตอบว่า อยู่ที่ญี่ปุ่นนายกฯ ญี่ปุ่นก็สอบถาม เราได้ยืนยันไปตลอดว่าเป็นเรื่องสองฝ่ายก็น่าจะรู้เรื่อง เพราะปัญหามันเกิดขึ้นจากการกระทำเมื่อสองอาทิตย์นี้ ถ้ากลับไปอยู่ที่เดิมมันก็จบ เพราะก่อนหน้านี้ทุกอย่างก็เดินหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งการกลับไปที่เดิมก็เหมือนกับว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า หมายถึงไม่มีแต่งตั้งที่ปรึกษาก็จบหรือ เพราะยังมีการพาดพิงกระบวนการยุติธรรม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ เขาต้องมีท่าทีที่เหมือนเดิม ต้องเคารพและมีความจริงใจต่อกันในการดำเนินความสัมพันธ์ โดยยึดหลักเรื่องของสนธิสัญญา ข้อกฎหมาย ข้อผูกพันต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นเรื่องที่ทางกัมพูชาต้องตัดสินใจ

"ทุกคนน่าต้องยึดประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และอย่าทำให้ประเทศของเรามีความเสียเปรียบ และอย่าทำให้แตกแยก เพราะความแตกแยกจะนำมาซึ่งความอ่อนแอ วันนี้คือทุกคนต้องรวมตัวกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ถ้าคนสองคนจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเองก็ต้องปล่อยเขา แต่คนส่วนใหญ่ต้องเดินหน้ารักษาผลประโยชน์ของประเทศ" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ที่กระทรวงการต่างประเทศ ก็มีการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อพิจารณายกเลิกเอ็มโอยูว่าด้วยเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันที่ 10 พ.ย. โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง

นายชวนนท์กล่าวว่า เป็นการเรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย มาให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันต่อนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อฝ่ายไทยจะได้มีข้อมูลที่พร้อมและได้เปรียบที่สุด ซึ่งที่ประชุมยังจะเดินหน้านำเอ็มโอยูเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อให้พิจารณาเห็นชอบยกเลิกแน่นอน เนื่องจากเอ็มโอยูจัดทำขึ้นในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปี 2544 ซึ่งมีข้อมูลภายในและเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ที่อาจนำไปแสวงหาผลประโยชน์กับประเทศเพื่อนบ้าน

"รัฐบาลไทยไม่ได้หยิบยกมาประเด็นข่มขู่ แต่เตรียมเสนอให้ ครม.เห็นชอบอย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยเอ็มโอยูฉบับนี้มีผลบังคับใช้ อาจส่งผกระทบต่อผลประโยชน์ของไทย" นายชวนนท์กล่าว

เล็งส่งตีความยกเลิก MOU

เขายังระบุถึงการยกเลิกเอ็มโอยู ที่จำเป็นต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาตามมาตรา 190 ว่าเร็วๆ นี้ กระทรวงการต่างประเทศมีแนวคิดส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพื่อเป็นบรรทัดฐานและไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ส่วนกรณีที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงต่อข้อขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ต้องขอขอบคุณในความห่วงใย แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของสองประเทศ ไม่ได้เป็นปัญหาระดับภูมิภาค จึงต้องปล่อยให้เป็นการแก้ไขในระดับทวิภาคี

ในขณะที่นายนพดล ก็ได้แถลงกรณีรัฐบาลจะยกเลิกเอ็มโอยูว่า เอ็มโอยูดังกล่าวเริ่มมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีการตกลงสาระสำคัญเบื้องต้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.43 สมัยนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.การต่างประเทศ, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็น รมช.การต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้เป็นนายกฯ เอ็มโอยูนี้พรรคประชาธิปัตย์จึงรู้รายละเอียดหรือความลับดีกว่าใคร ดังนั้นหากจะยกเลิกโดยคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้เจรจา เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะนายอภิสิทธิ์ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จงใจใส่ร้าย บิดเบือน เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทั้งความลับและความเลวที่จะทำเช่นนั้น มันไม่เกี่ยวตั้งแต่ต้น

"เอ็มโอยูทำมา 8 ปีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ หาก พ.ต.ท.ทักษิณจะหาประโยชน์จากสัมปทานน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติ ก็ต้องมีการเซ็นสัญญาอะไรไปบ้าง และที่น่าประหลาด คณะกรรมการปักปันเขตแดนเพิ่งตั้งเมื่อปี 2549 ก็เป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากรัฐบาลจะยกเลิกก็อยากให้คิดให้ดี และควรไปถามนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน" นายนพดลกล่าว

ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณผู้นี้ยังระบุว่า เอ็มโอยูฉบับนี้ไม่ใช่กรอบการเจรจา เป็นเพียงกลไกในการเจรจาให้กรรมการเทคนิคมาพิจารณาปักปันพื้นที่แบ่งผลประโยชน์ ซึ่งยังไม่มีใครได้รับความเสียหาย ใครยังไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องตกลงกันก็ได้ เจรจาอีก 100 ปี 1,000 ปีก็ได้ สรุปคือยังไม่มีการทำข้อตกลงอะไรกันเลย เรื่องนี้จึงเป็นการใส่ร้ายบิดเบือน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จะฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์ที่ออกมากล่าวหาหรือไม่นั้น กำลังให้ทีมกฎหมายพิจารณา เพราะเบื้องต้นยังไม่เข้าข่ายผิดข้อกฎหมายอะไร เขายังได้ตอบโต้กรณีนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์, นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติว่า อยากบอกว่าสุนัขเห็นใบตองแห้งยังเห่า แต่นักการเมืองที่ดีอย่าไปเห่าเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เอาความจริงมาพูด หยุดใส่ร้ายคนอื่น ขอย้ำอีกครั้งว่าใครก็ตามที่ค้นพบสัมปทานเหล่านั้น อดีตนายกฯ พร้อมยกสัมปทานเหล่านั้นให้ไปเลย

นพดลชี้อย่าปลุกชาตินิยม

"พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาถือเป็นเจตนาดี ไม่ได้ต้องการไปเปิดเผยข้อมูลลับอันใด หรือถึงมีก็ไม่ทำอยู่แล้ว อดีตนายกฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสัมปทานใดๆ ทั้งสิ้น คนเป็นนายกฯ มา 6 ปีไม่คิดร้ายต่อประเทศแน่นอน นายอภิสิทธิ์รู้จักกันดี ขนาดภรรยารับปริญญาโทและเอกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่นายอภิสิทธิ์ไม่มีชุดครุยใส่ มายืมผมก็ยังให้ยืม เพราะจบจากออกซ์ฟอร์ดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการจัดการชีวิตท่านไม่ควรไปยืมหรือกู้เท่านั้น นายอภิสิทธิ์ต้องมีจิตใจเป็นธรรมบ้าง อย่ากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นพวกกัมพูชา แล้วมาปลุกกระแสชาตินิยม วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกถอนพาสปอร์ต แดง น้ำเงิน น้ำตาล หมดแล้ว คงไม่มีปัญญาเอาความลับไปบอกใคร" นายนพดลกล่าว

นายนพดล กล่าวถึงกรณีนายอลงกรณ์ขอให้เปลี่ยนสัญชาติว่า เป็นคนไทยรักประเทศเหมือนกัน และนายอลงกรณ์ไม่ใช่สำนักบริการที่จะให้เปลี่ยนสัญชาติ เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสัญชาติ แต่สันดานเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นมันเปลี่ยนง่ายกว่า ส่วนการฟ้องร้องกำลังพิจารณา แต่ก็ไม่อยากไปหาความกับคนที่ไม่มีจริยธรรมให้เปลืองเงินโดยใช่เหตุ

"เราอาฆาต เราเจ็บ จะเสียลาภ-ยศก็ต้องเสียจากความจริงไม่ใช่ความเท็จ เราเอาข้อเท็จจริงมาพูดไม่ใช่ข้อกล่าวหา ขอให้นายอภิสิทธิ์โตเสียที วันนี้ไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนคนไทย ควรมีจิตใจให้ความเป็นธรรมต่อคนอื่นบ้าง" นายนพดลกล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังมีความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องจากหลายฝ่าย โดยนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยองและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงว่า ขอเรียกร้องในฐานะคนไทยด้วยกัน ให้พรรคเพื่อไทย (พท.) และกลุ่มคนเสื้อแดงยุติการเข้าข้างเขมร เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่เขมรเข้ามาแทรกแซงกิจการในไทย ซึ่งแนวทางการตอบโต้ของรัฐบาลเพื่อรักษาประโยชน์ และต่อต้านการแทรกแซงก็ถูกต้อง และเป็นไปด้วยความระมัดระวัง จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงหันมาสนับสนุนการทำหน้าที่ของรัฐบาล และให้ยุติการดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.เห็นประโยชน์ของคนคนเดียวมากกว่าประเทศ 2.คัดค้านรัฐบาลทุกเรื่องว่าทำอะไรก็ผิดหมด ทั้งที่เรื่องได้เป็นประโยชน์ของประเทศก็น่าจะสนับสนุน และ 3.หยุดการยื่นเรื่องที่ไม่มีสาระไปยังองค์กรอิสระหรือศาล

"การที่นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่าเตรียมจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองว่า การสั่งให้ทูตไทยประจำกัมพูชาเดินทางกลับเป็นการกระทำมิชอบ เพราะไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ทั้งที่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ต่างกับการโยกย้ายข้าราชการ จึงอยากให้นายวิทยายุติ" นายสาธิตกล่าว

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.ปชป. กล่าวว่า อยากให้คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณพิจารณาว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนายกฯ กัมพูชา และที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ดังนั้นปัญหาทุกอย่างจะยุติได้ หากมีคนไปกระซิบขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่รับ หรือลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ปัญหาต่างๆ ก็จะยุติ เพราะเรื่องดังกล่าวทำให้คนไทยไม่สบายใจ

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องตอบคนไทยให้ได้ว่า การเดินสายไปยังต่างประเทศต่างๆ มีความมุ่งหวังทางการเมืองอย่างไร เพราะเหตุใดจึงมีการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศเกิดขึ้น และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีความพยายามจะทำสัมปทานเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ และจะพัฒนาเกาะกงให้เป็นฮ่องกงแห่งที่ 2 หรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แม่โขงไทม์มาแล้ว นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังเคยเข้าร่วมการปฏิวัติ 2537 ของกัมพูชาหรือไม่ และเหตุใดปี 2540 บริษัทเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้รับการต่อเวลาสัมปทานเพิ่มขึ้น

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากชี้ 3 ประโยคที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย คือ อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน แต่วันนี้กลับมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอย่าดึงฟ้าต่ำ ในวันนี้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ลับและที่เปิดเผย โดยใช้สื่อทั้งใต้ดินและบนดิน โดยเฉพาะสื่อเว็บไซต์ที่รัฐบาลพยายามตามปิดตลอดเวลา ส่วนประโยคที่ว่าอย่าทำหินแตก วันนี้ก็ได้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนชัดเจน มีการปลุกระดมให้ประชาชนเลือกฝ่ายเลือกข้าง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับระบอบทักษิณาธิปไตยที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแกนนำ และยังมีความแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างประเทศโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวการ

นายเทพไทกล่าวว่า สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณออกมายืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีความรักชาติเหมือนเดิม อยากถามว่าความรักชาติไม่ได้มีแค่คำพูด แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วย และไม่ทราบว่าความรักชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการรักชาติจนน้ำลายไหลหรือไม่ ถ้ารักชาติจริง วันนี้ทำไมทำตัวเป็นคนทรยศต่อชาติ

"จากนี้ไปผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้การเมืองไทยถึงทางตัน รัฐบาลถึงจุดจบ กลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำร้ายประเทศ และประเทศชาติกำลังถูกฆาตกรรม โดยคนที่สวมวิญญาณเป็นฆาตกร ดังนั้น สถานการณ์ต่อจากนี้ไปน่าจับตามองอย่างยิ่ง" นายเทพไทกล่าว

โดยระหว่างการแถลงข่าว นายเทพไทได้นำซีดีเพลงมาเปิดประกอบการแถลง พร้อมระบุว่ามีผู้หวังดีนำซีดีเพลง "คนหนักแผ่นดิน" ที่เคยใช้ออกอากาศเมื่อปี 2518 ทางสถานีวิทยุ จส. กรมการสื่อสารทหารบกมาให้ และไม่น่าเชื่อว่าเพลงดังกล่าวจะกลับมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน โดยจะปั๊มซีดีเพลงนี้ไปแจกให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยให้ฟัง เพื่อกระตุ้นต่อมจิตสำนึกความรักชาติขึ้นมาบ้าง

ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงท่าทีและมาตรการที่รัฐบาลแสดงต่อกัมพูชาว่า ผู้ใหญ่ในพรรคและ ส.ส.ยังไม่ได้พูดคุยหารืออย่างเป็นทางการเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลแสดงต่อประเทศกัมพูชา ซึ่งในการประชุมพรรคภูมิใจไทยวันที่ 10 พ.ย.คงจะมีการพูดคุยเรื่องนี้บ้าง แต่สิ่งที่ ส.ส.พรรคคุยอย่างไม่เป็นทางการ เห็นว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดๆ ก็ขอให้มีความระมัดระวังที่จะไม่ให้กระทบกับการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนของนักธุรกิจในกัมพูชา

"มาตรการที่ออกไปแล้ว หากบอกว่าเป็นการสั่งสอนก็ถือว่าเพียงพอ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ได้คะแนนนิยมพอสมควร แต่วันนี้หากจะแก้ปัญหาไม่ให้เกิดความร้าวฉานมากขึ้น จนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาน่าจะลดทิฐิมาเจรจากัน" นายศุภชัยกล่าวและว่า เพื่อไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกเสียหน้า เลขาธิการอาเซียนหรือกลุ่มประเทศอาเซียนอาจจะต้องมาร่วมเป็นคนกลางนำไปสู่การเจรจา และไม่ควรให้ค่าและความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณมากเกินไป ปัญหาอาจจะไม่บานปลาย

"การส่งผู้ร้ายข้ามแดน หาก พ.ต.ท.ทักษิณเข้าไปในกัมพูชาแล้วจะปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็เป็นคนละเรื่องกัน หากกัมพูชาไม่ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน สมเด็จฮุน เซน จะเสียรังวัดเอง"

นายสำราญ รอดเพชร ว่าที่โฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า เห็นด้วยกับแถลงการณ์ตอบโต้กัมพูชาของรัฐบาล รวมถึงการทบทวนการเอ็มโอยูว่าด้วยพื้นที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อน ที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงสังคายนาข้อตกลงและกรอบการเจรจาที่รัฐบาลไทยมีต่อกัมพูชาฉบับอื่นๆ อย่างมียุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ

"ที่พรรคการเมืองใหม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะเห็นว่ารัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2544 มีวาระซ่อนเร้น และมีความพยายามชัดเจนที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อน และเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลกัมพูชาก็ยิ่งเป็นอันตราย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ความลับของไทย จนอาจทำให้สุ่มเสี่ยงที่จะเสียผลประโยชน์มหาศาลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อน" นายสำราญกล่าว

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ กมม.กล่าวถึงบทบาทของพรรคเพื่อไทยว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาขณะนี้ แม้ไม่ได้ประกาศเป็นทางการ แต่ในเชิงพฤติกรรมได้แสดงท่าทีเห็นด้วยกับบทบาทของ พล.อ.ชวลิต และเห็นด้วยกับการรับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสุ่มเสี่ยงเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ขัดกับข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยพรรคการเมืองต้องไม่กระทำการใดที่ขัดต่อความมั่นคงของประเทศ พรรคจึงจะศึกษาข้อกฎหมาย ก่อนจะตัดสินใจว่าจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยต่อไป

"พรรคการเมืองใหม่ขอสนับสนุนรัฐบาลที่จะตอบโต้กัมพูชาอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าหากพรรค ปชป.จะได้คะแนนประชาชนจากการกระทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร" นายสุริยะใสกล่าวและว่า ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ นายพิภพ ธงไชย และตัวแทนจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จะเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเสนอการยกเลิกพันธกรณีต่างๆ ที่ไทยทำกับกัมพูชา

โพลล์ซัดแม้วทำร้ายชาติ

วันเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง เสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อบทบาททางการเมืองของบุคคลนัยสำคัญทางการเมืองของประเทศ จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัด จำนวน 1,127 ครัวเรือน

โดยเมื่อสอบถามถึงบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า 83.1% มองว่าเป็นผลเสียต่อไทย ในขณะที่ 16.9% มองว่าเป็นผลดี นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือ 88.1% ยังมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ 11.9% คิดว่าเป็นการทำประโยชน์ให้กับประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ 71.3% ยังกังวลว่าการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาผู้นำกัมพูชา จะกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายระหว่างประเทศ ในขณะที่ 28.7% ไม่คิดเช่นนั้น และยังมีประชาชนอีก 70.7% ที่มองว่าการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อไทย มีเพียง 15.1% ที่มองว่าเป็นการทำเพื่อคนไทย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ 64.7% เห็นด้วยกับรัฐบาลที่เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ ในขณะ 35.3% ไม่เห็นด้วย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ 58.7% หวังว่าทั้งสองประเทศจะหันมาร่วมมือกันด้วยดี ในขณะที่ 41.3% ไม่ได้หวังเช่นนั้น

สำหรับแนวโน้มความนิยมของสาธารณชนต่อนายอภิสิทธิ์ พบว่าอยู่ที่ 60.0% ในขณะที่ความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงไม่แตกต่างไปจากการสำรวจครั้งก่อน คือ 21.0% และส่วนใหญ่ 77.9% ยังคงให้โอกาสรัฐบาลชุดปัจจุบันทำงานต่อไป ในขณะที่ 14.5% ไม่ให้โอกาสแล้ว และ 7.6% ไม่มีความเห็น

ส่วนสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,652 คน ต่อบทบาทในการดำเนินงานของนายกฯ ต่อการแก้ไขปัญหากรณีสมเด็จฮุน เซน แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจว่า ได้คะแนน 5.51 คะแนนจาก 10 คะแนน โดย 38.53% ค่อนข้างพึงพอใจ 24.41% ไม่พึงพอใจเลย 19.02% ไม่ค่อยพึงพอใจ และ 18.04% พึงพอใจมาก.

ที่มา ไทยโพสต์

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

 

ASTV ผู้จัดการ News

กรุงเทพธุรกิจ - ข่าวหน้าแรก

เกาะติดสื่อ ตามข่าวร้อน Copyright © 2009 WoodMag is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template